9 มกราคม 2007 “เปิดตัว iPhone รุ่นแรก”

9 มกราคม 2007 ย้อนไป 17 ปีที่แล้ว เป็นเหตุการณ์สำคัญที่หลายคนยังจดจำ กับการ เปิดตัว iPhone สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของ Apple เป็นจุดเริ่มต้นของการพลิกโฉมโลกของการสื่อสาร ด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรมล้ำสมัย สร้างแรงกระเพื่อมไปยังทุกอุตสาหกรรม และให้คนทั้งโลกเข้าถึงอินเทอร์เนต และใช้งานอุปกรณ์ที่ล้ำสมัยได้อย่างง่ายดาย

จุดเริ่มต้นของ iPhone ถือเป็นอีกผลงาน Masterpiece ของ สตีฟ จ็อบส์ และทีมงานของบริษัท Apple พวกเขามีความตั้งใจที่จะสร้างอุปกรณ์รูปแบบใหม่ ที่เป็นมากกว่าโทรศัพท์มือถือ  ด้วยการ “รวม 3 สิ่งเข้าเป็นหนึ่งเดียว” นั่นคือ โทรศัพท์ , iPod และอินเทอร์เนต

จ็อบส์ มองเห็นโอกาสที่จะสร้างอุปกรณ์รูปแบบนี้ขึ้นมา ให้มีความแตกต่างจากโทรศัพท์มือถือที่มีทั่วไปในยุคนั้น ยังใช้วิธีการกดปุ่มแป้นพิมพ์ QWERTY หรือไม่ก็หน้าจอสัมผัสที่ต้องใช้ปากกาสไตลัส 

เราจะมาเดินทางย้อนอดีตไปดูตั้งแต่การถือกำเนิด วิวัฒนาการ นวัตกรรมต่างๆ ของ iPhone ที่เปิดตัวมาจนถึงปัจจุบัน

2007 – เปิดตัว iPhone ครั้งแรก

iPhone รุ่นแรก ได้เปิดตัวโดย สตีฟ จ็อบส์ ในวันที่ 9 มกราคม 2007 ในงาน Macworld Conference & Expo ที่เมืองซานฟานซิสโก  สร้างความตื่นเต้นให้กับคนทั่วโลก ด้วยการใช้งานผ่านหน้าจอ Multi-Touch แบบสัมผัส โดยเป็นหน้าจอขนาดใหญ่โล่งๆ และไม่มีปุ่มกดใด ๆ เลยแม้แต่ปุ่มเดียว การสั่งงานคือใช้นิ้วของคุณ จิ้มสั่งไปยังหน้าไอคอนโปรแกรม และคำสั่งต่างๆ ได้โดยตรง 

ถือว่าเป็นการสื่อสารกับผู้ใช้งานที่ง่าย และลื่นไหล และยังมีการเปิดตวฟีเจอร์การใช้งานอินเทอร์เน็ตที่น่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็น เว็บเบราว์เซอร์ Safari, การเช็คอีเมล, และการเชื่อมต่อกับ Google Maps ที่ทำได้เหมือนกับใช้งานบนคอมพิวเตอร์ โดยในการเปิดตัว iPhone ใช้ระบบปฏิบัติการว่า iPhone OS

การปรากฎตัวของ iPhone นั้น สร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือและเทคโนโลยีสมัยใหม่ทั่วโลก และ iPhone ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นมาตรฐานของสมาร์ทโฟนยุคใหม่ เปิดทางสู่ยุคของการสื่อสารและการเข้าถึงข้อมูลมาจนถึงทุกวันนี้

2008 – เปิดตัว iPhone 3G

สตีฟ จ็อบส์ ได้เปิดตัว iPhone 3G ในงาน Worldwide Developers Conference (WWDC) เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2008 ท่ามกลางการคาดหวังของแฟน ๆ ว่าจะมีอะไรน่าตื่นเต้นบ้าน 

iPhone 3G เป็นรุ่นที่สองของ iPhone ที่ใช้ชื่อนี้ก็เพราะว่า เป็น iPhone รุ่นแรกที่รองรับเครือข่าย 3G ที่มีความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลอินเทอร์เน็ตกว่ายุค 2G และเป็นครั้งแรกในการเปิดตัว App Store เป็นการปฏิวัติวงการแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือ และเปิดกว้างให้กับนักพัฒนาทั่วโลกสามารถสร้างแอปของตัวเองและนำมาขาย ก่อให้เกิด Ecosytem ที่สร้างโอกาสให้กับธุรกิจทุกขนาดทั่วโลก สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับผู้ใช้งาน

2009 – เปิดตัว iPhone 3Gs

Apple จัดงานเปิดตัว iPhone 3Gs เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2009 เป็นรุ่นที่มีการปรับปรุงหลายอย่างจากรุ่นก่อนหน้า โดยเน้นที่การประมวลผลที่เร็วขึ้น (“s” ในชื่อนั้นหมายถึงคำว่า “speed”) มีการปรับปรุงกล้องด้านหลัง เพิ่มความละเอียดเป็น 3 ล้านพิกเซล พร้อมความสามารถในการบันทึกวิดีโอ และเพิ่มระบบ Voice Control สำหรับควบคุมในงานด้วยเสียง 

นอกจากนี้ iPhone 3s ยังเป็นไอโฟนรุ่นแรก ที่เพิ่มตัวเลือกความจุสูงสุด 32GB เพื่อรองรับการใช้งานแอป และบันทึกภาพ บันทึกวิดีโอ

2010 – เปิดตัว iPhone 4

มีเหตุการณ์สารพัดดราม่า เกี่ยวกับการเปิดตัว iPhone 4 เริ่มตั้งแต่ก่อนเปิดตัว มีเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะว่าวิศวกรของ Apple ไปเที่ยวบาร์ในเมืองเรดวูด​ ซิตี้, รัฐแคลิฟอร์เนีย แล้วเขาดันเผลทำเครื่องต้นแบบ iPhone 4 หล่นไว้ที่นั่น ต่อมาเครื่องถูกเก็บได้แล้วถูกขายไปให้ Gizmodo เว็บข่าวสายเทคชื่อดัง

ในยุคนั้น Apple ที่ขึ้นชื่อเรื่องของการเก็บความลับ แต่หน้าตาของไอโฟนรุ่นใหม่กลับถูกเผยแพร่ออกไปก่อนงานเปิดตัว เป็นเรื่องที่ทำให้ สตีฟ จ็อบส์หัวเสียมากๆ

อีกสิ่งสำคัญของการเปิดตัว iPhone 4 ก็คือ นี่เป็นการได้ขึ้นเวที Keynote เพื่อเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่เป็นครั้งสุดท้ายของ สตีฟ จ็อบส์ เพราะหลังจากนี้ สตีฟ จ็อบส์ต้องเข้ารักษาโรคมะเร็งหลังจากรักษามาหลายปี และอาการเริ่มรุนแรง

เปิดตัว iPhone 4

แอปเปิล จัดงานเปิดตัว iPhone 4 ในงาน Worldwide Developers Conference (WWDC) เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2010 ตัวเครื่องมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ตั้งแต่การออกแบบตัวเครื่องใหม่ ให้เป็นขอบเหลี่ยมวัสดุเป็นสแตนเลสสตีล และเป็นกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เป็นดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่ว่าสวยงาม แต่ตอนนั้นก็มีดราม่ากับการออกแบบเสาสัญญาณแบบใหม่ ที่ผู้ใช้เจอปัญหาเรื่องคุณภาพสัญญาณ

iPhone 4 ยังมาพร้อมหน้าจอ Retina Display ที่มีความละเอียดสูง เพิ่มความคมชัดให้กับหน้าจออย่างมาก ที่สตีฟ จ็อบส์บอกว่า นี่คือหน้าจอที่มีความละเอียดเทียบเท่ากับที่ดวงตามองเห็น

เพิ่มเติมไปกว่านั้น iPhone 4 ยังนำเสนอ FaceTime สำหรับการโทรวิดีโอ โดยที่มีเพิ่มกล้องหน้าเป็นครั้งแรก ส่วนกล้องหลังก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ และยังเป็นไอโฟนรุ่นแรก ที่ใช้ชิป A4 ซึ่งเป็นชิปแรกที่ออกแบบโดย Apple

และในปีนี้ Apple ได้เปลี่ยนชื่อระบบปฏิบัติการจาก iPhone OS มาเป็น iOS เป็นครั้งแรก โดยใช้เป็นชื่อ iOS4

2011 – iPhone 4s

เป็นอีกครั้งที่คนทั่วโลกจดจำ เพราะว่าหลังจากการจัดงานเปิดตัว iPhone 4s ในวันที่ 4 ตุลาคม 2011 หลังจากนั้นเพียง 1 วัน สตีฟ จ็อบส์ ก็เสียชีวิตลงหลังจากต่อสู้กับการรักษาโรคมะเร็งมาหลายปี และเป็นการขึ้นเวทีงาน Keynote ครั้งแรกของ ทิม คุก CEO คนใหม่ของ Apple

iPhone 4s ได้รับการอัปเกรดในหลายจุด เริ่มด้วยชิป A5 ที่มีความเร็วในการประมวลผลที่เร็วขึ้น กล้องหลังเปลี่ยนเป็น 8 ล้านพิกเซล และเป็นครั้งแรกในการเปิดตัว Siri, ผู้ช่วยดิจิทัลที่ทำงานโดยใช้คำสั่งเสียง ซึ่งเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้คนโต้ตอบกับอุปกรณ์ของตน. Siri ได้กลายเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่โดดเด่นที่สุดของ iPhone และมีอิทธิพลต่อการพัฒนาผู้ช่วยดิจิทัลในอุปกรณ์อื่น ๆ ในอนาคต

2012 – iPhone 5

การเปิดตัว iPhone 5 จัดขึ้นวันที่ 12 กันยายน 2012 ถือเป็นก้าวสำคัญของ Apple ที่คนทั่วโลกคาดหวังกันว่า Apple ในยุคที่ไม่มีสตีฟ จ็อบส์แล้ว ไอโฟนจะออกมาเป็นหน้าตาแบบใด

iPhone 5 มาพร้อมดีไซน์ที่บางและเบาขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า มีหน้าจอขนาด 4.0 นิ้วที่ใหญ่ขึ้น และเป็น iPhone รุ่นแรกที่รองรับเครือข่าย 4G LTE เป็นการพัฒนาที่สำคัญในด้านความเร็วของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงในส่วนของกล้องและประสิทธิภาพโดยรวม รวมถึงยังเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ Apple เลือกใช้พอร์ตแบบ 30-pin มาเป็นพอร์ต Lightning

2013 – เปิดตัว iPhone 5s / iPhone 5c

ในปีนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ Apple เปิดตัวไอโฟนพร้อมกัน 2 รุ่นพร้อมกัน การเปิดตัว iPhone 5s และ iPhone 5c จัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2013 

iPhone 5s นำเสนอนวัตกรรมใหม่ กับเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือ Touch ID เป็นครั้งแรกที่เพิ่มความปลอดภัยในการปลดล็อคเครื่องและทำธุรกรรมให้กับอุปกรณ์ ด้วยการยืนยันตัวตนแบบชีวมาตร และชิป A7 ที่ใช้สถาปัตยกรรม 64 บิต ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ก้าวล้ำมากในขณะนั้น

อีกรุ่นที่เปิดตัวพร้อมกันคือ iPhone 5c สร้างความแปลกใจให้กับสาวก ด้วยตัวเครื่องวัสดุเป็นพลาสติกที่มีสีสันสดใสหลากสีให้เลือก ทาง Apple มุ่งเป้าที่จะเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่สุดท้ายแนวคิดนี้ก็ประสบกับความล้มเหลว เพราะราคาที่ถูกลง ก็ยังสู้กับสมาร์ทโฟน Android รุ่นอื่นๆ ในท้องตลาดเวลานั้นได้ หลังจากนั้น แนวคิดการลดต้นทุนด้วยวัสดุที่ไม่พรีเมียม Apple ก็ไม่นำมาใช้อีกต่อไป

2014 – iPhone 6 / iPhone 6 Plus

Apple จัดงานเปิดตัว iPhone 6 และ iPhone 6 Plus เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2014 เป็นครั้งแรกที่เปิดตัวไอโซนในซีรีย์เดียวกัน ที่มีตัวเลือกหน้าจอ 2 ขนาด โดย iPhone 6 หน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว และ iPhone 6 Plus หน้าจอขนาดใหญ่กว่าที่ 5.5 นิ้ว เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หลังจากคู่แข่งที่เป็นสมาร์ทโฟน Android ทั่วโลก นำเสนอเครื่องที่มาพร้อมที่ขนาดใหญ่มากกว่า และความต้องการของผู้บริโภคก็มีแนวโน้มที่ต้องการหน้าจอมือถือที่ใหญ่ขึ้น

นอกจากขนาดหน้าจอที่แตกต่างแล้ว iPhone 6 และ 6 Plus ยังมาพร้อมกับการออกแบบเครื่องที่เปลี่ยนไป ด้วยขอบเครื่องที่โค้งมนและบางกว่ารุ่นก่อน ๆ พร้อมทั้งฟีเจอร์เด่นๆ เช่น ชิป A8 ที่มีประสิทธิภาพสูง กล้องที่ปรับปรุงใหม่ และการเชื่อมต่อ LTE ที่เร็วขึ้น

อีกสิ่งสำคัญที่เปิดตัวพร้อมกับ iPhone 6 และ 6 Plus ก็คือ บริการ Apple Pay, ระบบชำระเงินผ่านมือถือที่เป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงวิธีการชำระเงินในชีวิตประจำวัน มาสู่สังคมไร้เงินสด และเงินแบบดิจิทัลในยุคปัจจุบัน

2015 – เปิดตัว iPhone 6s / iPhone 6s Plus

iPhone 6s และ 6s Plus เปิดตัวในวันที่ 9 กันยายน 2015 มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนไม่มากนัก แต่ก็เพิ่มนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามา อย่าง  3D Touch ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับอุปกรณ์ได้ผ่านความหนักเบาในการกดของนิ้วบนหน้าจอ 

นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของชิปเป็น A9 และกล้องหลังที่เป็นครั้งแรกที่อัปเกรดเป็น 12MP รองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K และกล้องหน้า 5MP และเป็นครั้งแรกกับการถ่ายภาพแบบ Live Photo ที่เก็บภาพนิ่งเป็นภาพเคลื่อนไหวสั้นๆ

ตัวเครื่องออกแบบให้มีแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ด้วยวัสดุทำจากอลูมิเนียมอัลลอย 7000 Series รวมถึงตัวเลือกสีใหม่อย่าง Rose Gold

2016 – iPhone SE / iPhone 7 / iPhone 7 Plus

เป็นอีกปีที่มีความแปลกใหม่ ในการเปิดตัวไอโฟนของ Apple ว่ามี iPhone เปิดตัว ทั้งหมด 3 รุ่น และมีรอบเปิดตัวแยกกัน เริ่มด้วย iPhone SE เปิดตัววันที่ 21 มีนาคม 2016 เป็นแนวคิดใหม่ในการบุกตลาดราคาประหยัด หลังจากที่ล้มเหลวไปกับ iPhone 5c ด้วยแนวคิดของไอโฟนที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด แต่มีประสิทธิภาพสูง และราคาที่เข้าถึงง่ายกว่ารุ่นปกติ

iPhone SE จึงมาในดีไซน์เดียวกับ iPhone 5s รุ่นที่เปิดตัวเมื่อ 3 ปีก่อน แต่ภายในตัวฮาร์ดแวร์ที่เร็วแรงเทียบเท่าเับ iPhone 6s ที่เปิดตัวก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือน ด้วยชิป A9 กล้อง 12MP และรองรับ AirPlay ซึ่งรอบนี้ถือว่ามีการตอบรับจากผู้ใช้และมียอดขายอย่างต่อเนื่องได้หลายปี

และต่อมาในวันที่ 7 กันยายน 2016 Apple ก็ได้เปิดตัว iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่เปลี่ยนโลกอีกครั้ง ด้วยการถอดช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5mm ทิ้งไป ในตอนนั้นมีเสียงบ่นเสียงด่าจากทั่วโลก แต่มาจนถึงปัจจุบัน สมาร์ทโฟนแทบจะทุกรุ่นตอนนี้ ก็ไม่มีพอร์ตนี้เป็นที่เรียบร้อย

ตัวเครื่องมีการประกอบที่มาพร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่น และปุ่มโฮมแบบใหม่ที่เปลี่ยนมาใช้เป็นแบบสัมผัส Haptic แทนการกดจริงๆ และยังเป็นครั้งแรก ใน iPhone 7 Plus ที่ไอโฟนมีกล้องหลัง 2 เลนส์ ทำให้การถ่ายภาพได้รับการยกระดับไปอีกขั้น

2017 – iPhone 8 / iPhone 8 Plus  / iPhone X

ในปีนี้ Apple ก็สร้างความแปลกใหม่ในการเปิดตัวอีกครั้ง เพราะเปิดตัวไอโฟนพร้อมกันทีเดียว 3 รุ่น และยังเป็นปีที่ครบรอบ 10 ปีของไอโฟน 

Apple จัดงานในวันที่ 12 กันยายน 2017 สำหรับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ต่อยอดจากรุ่นก่อนหน้าด้วยการอัปเกรดหลายประการ เช่น ชิป A11 Bionic ที่มีประสิทธิภาพสูง, กล้องที่ปรับปรุงใหม่ และการรองรับการชาร์จไร้สาย

แต่ดาวเด่นในปีนี้ ก็คือ iPhone X ด้วยการออกแบบใหม่หมด ตัวเครื่องไม่มีปุ่มโฮม ทำให้พื้นที่หน้าจอที่เกือบเต็มพื้นที่ด้านหน้า และใช้หน้าจอ OLED ที่มีสีคมชัดมากกว่าแบบ IPS

และการเอาปุ่มโฮมออกไป ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาคือ Face ID ระบบสแกนและจำใบหน้าแบบ 3D ที่ Apple ภูมิใจนำเสนอว่า นี่คือระบบความปลอดภัยที่แม่นยำและดีกว่าการสแกนลายนิ้วมือ

2018 – iPhone XS / iPhone XS Max / iPhone XR

แอปเปิล จัดงานเปิดตัวในวันที่ 12 กันยายน 2018 ไอโฟนทั้ง 3 รุ่นเป็นเหมือนการปรับปรุง iPhone X ในปีก่อนให้ดียิ่งขึ้น การเพิ่ม iPhone XS Max ที่ให้หน้าจอ OLED ที่ใหญ่ขึ้น พร้อมประสิทธิภาพที่แรงขึ้นของชิป A12 Bionic กล้องได้รับการปรับปรุงทั้งฮาร์ดแวร์และการประมวลผล พร้อมกับเพิ่มตัวเลือกสีใหม่ อย่างสีทอง

ส่วน iPhone XR เป็นตัวเลือกที่ปรับลดสเปคให้เครื่องมีราคาถูกลง ตั้งแต่หน้าจอจาก OLED มาเป็น Liquid Retina LCD ขนาด 6.1 นิ้ว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า iPhone XS เล็กน้อย ส่วนกล้องหลังเป็นแบบคู่เเหมือนกัน XS และ XS Max รวมถึงประสิทธิภาพของชิป A12 Bionic และ FaceID ถือเป็นการเพิ่มตัวเลือกให้ลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น

แต่สิ่งสำคัญที่มีครั้งแรกใน iPhone ก็คือ ทั้ง 3 รุ่นนี้ รองรับการใช้งาน 2 ซิม ในรูปแบบที่เป็นซิมปกติ 1 ซิม และ eSIM ที่เป็นระบบอยู่ภายในเครื่อง

หลายคนมาถึงตรงนี้ อาจจะสงสัยว่า iPhone 9 นั้นหายไปไหน จริงๆ แล้ว Apple ข้ามเลข 9 ไปตั้งแต่ปีก่อน จาก 8 มาเป็น X (ที่หมายถึง 10) เพื่อฉลองการครบรอบ 10 ปีของ iPhone

2019 – iPhone 11 / iPhone 11 Pro / iPhone 11 Pro Max

ในปีนี้ แอปเปิลจัดงาน เปิดตัว iPhone 11 series ในวันที่ 10 กันยายน 2019 เป็นครั้งแรกที่มีการเปิดตัวไอโฟนที่แบ่งเป็นรุ่นย่อยถึง 3 รุ่นให้เลือก และมีการแบ่งระหว่างรุ่นเริ่มต้นกับรุ่น Pro เป็นครั้งแรก โดยมีความแตกต่างให้เลือก แบ่งตามความต้องการของผู้ใข้งาน

iPhone 11 Pro และ Pro Max มาพร้อมกับหน้าจอ Super Retina XDR ที่มีคุณภาพสูง, ให้สีที่แม่นยำและความสว่างสูงสุด. iPhone 11 ใช้หน้าจอ Liquid Retina HD ที่ให้ประสบการณ์การแสดงผลที่ยอดเยี่ยมในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า

กล้องมีการอัปเกรดโดยที่ iPhone 11 มาพร้อมกล้องหลังคู่ ในขณะที่ iPhone 11 Pro และ Pro Max มาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วยกล้องหลัก, Ultra-wide และ Telephoto มีฟีเจอร์ในการถ่ายภาพขั้นสูง Deep Fusion ที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพของภาพถ่ายในสภาวะแสงต่างๆ

iPhone 11 ทุกรุ่น ใช้ชิป A13 Bionic ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในตลาดช่วงที่เปิดตัว ที่โดดเด่นทั้ง CPU และ GPU และประหยัดพลังงานได้เป็นอย่างดี

2020 – iPhone 12 / iPhone 12 mini / iPhone 12 Pro / iPhone 12 Pro Max / iPhone SE รุ่นที่ 2

เป็นอีกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เริ่มด้วยเป็นครั้งแรก ที่งานเปิดตัวจัดขึ้นวันที่ 13 ตุลาคม 2020 ได้ถูกเปลี่ยนจากการจัดงานประชุม เป็นรูปแบบออนไลน์ เนื่องจากโลกในปีนั้นประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 

ในด้านเทคโนโลยี iPhone 12 Series เป็นไอโฟนรุ่นแรกที่รองรับ 5G และปรับการดีไซน์ไปใช้ขอบด้านข้างแบบเหลี่ยม เหมือนกับใน iPhone 4 ในอดีต แต่ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมที่มีความแข็งแกร่ง ตัวหน้าจอมีการเพิ่มการเคลือบ Ceramic Shield ที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ขุมพลังมาจาก ชิป A14 Bionic ที่เร็วและทรงพลัง

และเป็นครั้งแรกกับ iPhone 12 mini ที่เป็นหน้าจอขนาดเล็ก 5.4 นิ้ว และมีน้ำหนักเบา ที่ต้องการนำเสนอให้กับผู้ที่ต้องการใช้สมาร์ตโฟนขนาดเล็ก ที่พกพาสะดวก แต่กลายเป็นว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก ด้วยยอดขายที่ไม่น่าเป็นที่น่าพอใจเท่าไร

ระบบกล้อง iPhone 12 และ iPhone 12 mini จะเป็นกล้องคู่ ส่วนรุ่น Pro ก็จะเป็น 3 ตัวที่ได้รับการปรับปรุงแลเพิ่มฟีเจอร์ถ่ายภาพใหม่ๆ รวมถึงการถ่ายภาพเป็นไฟล์ ProRAW และการบันทึกวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision สำหรับมืออาชีพ

นอกจากนี้ ในช่วงตันปี วันที่ 15 เมษายน 2020 แอปเปิลเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่แบบเงียบๆ แต่น่าสนใจ นั่นคือ iPhone SE รุ่นที่ 2 ที่ทิ้งช่วงการออกรุ่นใหม่นานถึง 4 ปี มาในคอนเซ็ปท์เดิมที่ต้องการเน้นเรื่องราคาถูก เข้าถึงง่าย โดยใช้ดีไซน์เดียวกับ iPhone 8 ที่มีปุ่มโฮมและ TouchID แต่ใส้ในคือชิป A13 Bionic ที่เป็นรุ่นเดียวกับใน iPhone 11 ทำให้สามารถรองรับแค่ 4G LTE

2021 – iPhone 13 / iPhone 13 mini / iPhone 13 Pro / iPhone 13 Pro Max

Apple จัดงาน เปิดตัว iPhone 13 Seriesในวันที่ 14 กันยายน 2020 เป็นการเลื่อนกลับมาเปิดตัวในเดือนตุลาคมอีกครั้ง เป็นการแบ่งรุ่นแบบเดิมเหมือนกันรุ่นก่อนหน้านี้ แถมดีไซน์ของเครื่องก็แทบจะเหมือนกับ iPhone 12 แต่มีปรับปรุงฟีเจอร์หลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของแบตเตอรี่ที่ใช้ได้งานขึ้นกว่าเดิม

เปิดตัว iPhone 13

ประสิทธิภาพภายในใช้ชิป A15 Bionic รุ่นใหม่ ที่แรงระดับชั้นนำของตลาด ส่วนเรื่องกล้องก็ปรับขึ้นอย่างมากในรุ่น Pro มีการเพิ่ม Cinematic Mode ในการถ่ายวิดีโอแล้วปรับโฟกัสได้เหมือนกับการถ่ายภาพยนตร์ รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ ProRES ที่สามารถนำไปเกรดสีในงานโปรดักชันแบบมืออาชีพ และ Photographic Style สำหรับเลือกปรับแต่งภาพถ่าย

และเป็นครั้งแรกที่ Apple มีตัวเลือกความจุสูงสุดถึง 1TB เพื่อรองรับการใช้งานบันทึกวิดีโอและถ่ายภาพความละเอียดสูงได้มากขึ้น

2022 – iPhone 14 / iPhone 14 Plus / iPhone 14 Pro / iPhone 14 Pro Max / iPhone SE รุ่นที่ 3

Apple ยังคงจัดงานเปิดตัวแบบออนไลน์ ในวันที่ 7 กันยายน 2022 เลื่อนขึ้นมาเร็วขึ้นกว่าปีก่อน 1 สัปดาห์ เป็นการโบกมือลารุ่น Mini ที่ทำยอดขายได้น้อยมาก แล้วใส่เป็นรุ่น Plus เข้ามาแทน ออกแนว ถ้าเล็กๆ ไม่ชอบ งั้นเอาจอใหญ่ไปแทนละกัน ทำให้ iPhone ที่มี 4 รุ่น จะมีขนาดให้เลือก 2 ขนาด คือ 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว

เป็นครั้งแรกของไอโฟนที่เปิดตัวพร้อมกัน แต่ใช้ชิปแตกต่างกัน โดยใน iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ใช้ชิป A15 Bionic รุ่นเก่าที่ใช้ใน iPhone 13 Pro เมื่อปีที่แล้ว ส่วนใน iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ใช้ชิปรุ่นใหม่ A16 Bionic ที่เพิ่มประสิทธิภาพทั้งการประมวลผลและกราฟิค มีเพิ่มระบบ Crash Detection และ Emergency SOS ที่จะโทรฉุกเฉินให้อัตโนมัติ เพื่อรายงานเหตุร้ายจากอุบัติเหตุ และสามารถเชื่อมต่อการสื่อสารโดยตรงกับดาวเทียม เพื่อสื่อสารในสถานที่ๆ ไม่มีสัญญามือถือหรือ WiFi

เปิดตัว iPhone 14

ในรุ่น iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max นำเสนอนวัตกรรมใหม่ กับ Dynamic Island ที่เป็นอินเทอร์เฟสรอบชุดกล้อง FaceID ให้กลายรูทรงแคปซูลยา ที่ปรับขนาดได้ตามการแจ้งเตือน และตัวจอแบบ Super Retina XDR ที่มีความสว่างสูงมากขึ้น รองรับการแสดงหน้าจอตลอดเวลา Alway on Display เพิ่มขึ้นมา

กล้องในุร่น Pro ได้รับการยกระดับตัวกล้องหลักเป็น 48MP เป็นครั้งแรก หลังจากใช้เป็น 12MP มาเกือบทศวรรษ ทำให้มีความสามารถในการถ่ายภาพรวมพิกเซล ทำงานร่วมกับ Photonic Engine ที่มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการถ่ายภาพสภาพแสงน้อย มีการปรับปรุงกล้อซูม Telephoto แบบ 3x Optical

ย้อนกลับไปช่วงต้นปี วันที่ 24 เมษายน 2020 Apple ได้เปิดตัว iPhone SE รุ่นที่ 3 ออกมาที่ใช้ดีไซน์เหมือนเดิมเหมือนรุ่นที่ 2 ที่เป็นบอดี้ของ iPhone 8 จอ LCD 4.7 นิ้วอันเล็กจิ๋ว และปุ่มโฮมแบบ TouchID แต่ข้างในอัปเกรดเป็นชิป A15 Bionic แบบเดียวกับใน iPhone 13 มีประสิทธิภาพในทำงานและประหยัดพลังงาน และรองรับ 5G เป็นที่เรียบร้อย ส่วนกล้องก็ถ่ายได้ดีขึ้น ด้วยความสามารถของ Deep Fusion และ Smart HDR 4 ที่ Apple ยกย่องว่า นี่คือสมาร์ทโฟนกล้องเดียวที่มีกล้องทรงพลังที่สุด

2023 – iPhone 15 / iPhone 15 Plus / iPhone 15 Pro / iPhone 15 Pro Max

ไอโฟนรุ่นล่าสุด เปิดตัวเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2023 มีความเปลี่ยนแปลงในการออกแบบอีกครั้ง ในรุ่น Pro ที่ตัวเฟรมเครื่องเปลี่ยนมาใช้วัสดุเป็นไทเทเนียมที่มีความทนทาน แต่ว่าน้ำหนักเบา ทำให้ตัวเครื่องในรุ่น Pro ถือสบายถนัดมือมากกว่าเดิม 

และการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน iPhone 15 ก็คือ การเปลี่ยนจากพอร์ต Lightning มาเป็น USB-C โดยในรุ่นปกติและรุ่น Plus ความเร็วเป็นระดับ USB 2.0 ต้องเป็นรุ่นโปรถึงจะได้เป็น USB 3.2 Gen 2 ที่มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลที่รวดเร็ว

อีกสิ่งใหม่ใน iPhone 15 Pro และ Pro Max กับการเปลี่ยนปุ่ม Mute ด้านข้าง เป็นปุ่ม Action ใช้งานเป็นคีย์ลัดในการเรียกทำงานคำสั่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น

เปิดตัว iPhone 15

กล้องหลักของทั้ง 4 รุ่น ได้เป็นความละเอียด 48MP เพิ่มโหมดการถ่ายภาพความละเอียดสูง 24MP และ 48MP ส่วนในรุ่น Pro จะมีประสิทธิภาพของกล้อง Telephoto 2x ส่วนรุ่น Pro Max เป็นครั้งแรกที่ใช้กล้องซูมถึงระดับ 5x

ชิปเซ็ตก็ยังคงแบ่งแยกกันระหว่างรุ่นปกติและรุ่นโปร โดยที่ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus จะใช้ชิปตัวเก่า A16 Bionic ส่วนรุ่นโปรทั้ง 2 รุ่น ใช้เป็นชิปรุ่นใหม่ A17 Bionic เป็นชิปรุ่นแรกของโลกที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมระดับ 3nm ประกอบด้วย CPU 6 คอร์ GPU 6 คอร์ และ Neural Engine 16 คอร์ จุดเด่นอยู่ที่การประมวลผลกราฟิคที่ดีเยี่ยม และรองรับ Ray Tracing ระดับฮาร์ดแวร์เป็นรุ่นแรกของ Apple


และนี่คืออดีตจนถึงปัจจุบัน ตลอด 17 ปี ของการ เปิดตัว iPhone เชื่อว่านี่คือสมาร์ทโฟนที่หลายคนชื่นชอบ และเฝ้ารอกันว่าในทุกปี Apple จะนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัยอะไร ออกมาสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ใช้งานทั่วโลก

และในปีนี้ กับ iPhone 16 คุณคาดหวังและอยากได้จากไอโฟนรุ่นต่อไป?