รีวิว Dyson Omni-Glide เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย เล็กเบาแต่ทรงพลัง หัวดูดหมุนกวาดได้ 360 องศา

รีวิว Dyson Omni-Glide ปรับเปลี่ยนให้มีขนาดเล็กอย่างน่าทึ่ง ใช้งานมือเดียวได้สบาย พร้อมหัวดูดแบบใหม่หมุนหลบซอกซอนได้ 360 องศา ง่ายและสะดวกในการจัดการทำความสะอาดในบ้านได้ดียิ่งขึ้น

แกะกล่อง รีวิว Dyson Omni-Glide

ครั้งแรกที่เราได้เห็นตัวกล่องของ Dyson Omni-Glide ก็ทำให้เราตกใจ เพราะขนาดของมันเล็กมากๆ เรียกว่าเล็กสุดเมื่อเทียบกับเครื่องดูดฝุ่นแบบไร้สายที่มีในท้องตลาดตอนนี้เลยล่ะ หรือถ้าเทียบกับรุ่นอื่นๆ ของไดสันเอง กล่องของ Omni-Glide มีขนาดที่เล็กกว่าเกือบครึ่งเลยทีเดียว

รีวิว Dyson Omni-Glide

วัสดุแพ็กเกจทั้งหมดใช้เป็นกระดาษลูกฟูก ที่สามารถนำไปทิ้งและรีไซเคิลได้ง่าย ภายในมีคู่มือเอกสารภาษาไทยมาให้เรียบร้อย ที่แนะนำวิธีการใช้งาน รวมถึงวิธีการดูแลและบำรุงรักษาเครื่อง และเอกสารแนะนำด้านความปลอดภัยในการใช้งาน เราแนะนำให้คุณอ่านเพื่อทราบถึงข้อจำกัดในการใช้งาน เพื่อให้การใช้งานทำได้เต็มประสิทธิภาพ

คู่มือมีมาให้เป็นภาษาไทย ที่แนะนำตั้งแต่พื้นฐาน วิธีการใช้งาน และข้อควรระวัง

ภายในจะมีอุปกรณ์ต่างๆ มาให้ดังนี้

  • ตัวเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Dyson Omni-Glide
  • ท่อต่อสำหรับเพิ่มความยาว
  • หัวดูดแบบ omnidirectional soft roller
  • หัวดูดแบบ Mini Motor Head
  • หัวดูดแบบ worktop
  • หัวดูดแบบ 2-in-1 combination
  • อะแดปเตอร์ชาร์ และ Docking พร้อมอุปกรณ์สำหรับยึดติดผนัง

เทคโนโลยีใน Dyson Omni-Glide

รีวิว Dyson Omni-Glide
  • Dyson Hyperdymium motor มอเตอร์ไฟฟ้าระบบดิจิตอล ที่มีขนาดเล็กและเบา แต่คงไว้ซึ่งความทรงพลัง ที่สามารถสร้างแรงดูดด้วยการหมุนของมอเตอร์ที่ 105,000 รอบต่อนาที และการออกแบบเส้นทางลมให้เป็นเส้นตรง ทำให้กำลังลมแรงตลอดทั้งระบบ
รีวิว Dyson Omni-Glide
  • ไซโคลน 8 ท่อ ที่ช่วยจัดการในการแยกฝุ่นและสิ่งสกปรกออกจากแรงลมที่ดูดเข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รีวิว Dyson Omni-Glide
  • ระบบกรองฝุ่น 5 ชั้น พร้อมไส้กรองแบบ HEPA ที่ดักจับอนุภาคได้เล็กสุดที่ 0.3 ไมครอน ได้ถึง 99% ช่วยให้มั่นใจว่าไม่มีฝุ่นฟุ้งกระจายออกมาจากตัวเครื่องระหว่างที่ใช้งาน

เล็กและเบาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน!

ขนาดของตัวเครื่อง เส้นผ่านศูนย์กลางของตัวเครื่องเพียงแค่ 9.1 ซม. ส่วนความยาวของด้ามจับจะอยู่ที่ 20.6 ซม. และเมื่อประกอบกับตัวท่อต่อความยาวและหัว Fluffy แบบคู่ ความยาวจะอยู่ที่ 107.7 ซม. โดยน้ำหนักจะอยู่ที่ 1.9 กิโลเท่านั้น ทำให้ถือใช้งานได้คล่องตัวมากกว่าเดิม ใช้ถือมือเดียวก็สะดวกไม่รู้สึกเมื่อยแต่อย่างใด

รีวิว Dyson Omni-Glide

ต้องยอมรับว่า ไดสันออกแบบให้ Omni-Glide มีขนาดที่เล็กลงอย่างน่าทึ่งมากๆ และด้วยน้ำหนักที่เบา ทำให้ใช้งานถือดูดฝุ่นบนพื้นก็ง่าย หรือจะยกดูดบนที่สูงก็ไม่ลำบาก

ตัวเครื่องใช้สีที่เป็นเอกลักษณ์ของไดสัน คือสีม่วงแบบเมทัลลิก ตัดกับด้ามจับและท่อที่เป็นสีเทา ส่วนหัวดูดจะใช้เป็นสีน้ำเงินและแดง โดยรูปทรงที่เล็กลง ยังคงออกแบบจัดวางให้หัวดูด, ท่อยาว, ไปจนถึงถังเก็บฝุ่นต่อกันเป็นเส้นตรงเพื่อให้พลังลมแรง

หัวดูดแบบใหม่ ที่ใช้งานได้ดีเกินคาด

รีวิว Dyson Omni-Glide

สิ่งที่เป็นพระเอกของรุ่นนี้ ก็คือหัวดูด Fluffy แบบคู่ ที่เป็นระบบ omnidirectional soft roller มีขนาดที่เล็กเพียงแค่ 13 x 21 ซม. เรียกว่า เล็กกว่ากระดาษ A5 เสียอีก โดยหัวดูดแบบนี้เป็นแบบทำงานด้วยมอเตอร์ที่จะหมุนปั่นลูกกลิ้งที่เป็นผ้าไมโครไฟเบอร์ เพื่อกวาดฝุ่นตามพื้นให้เข้ามาในท่อดูดได้ดียิ่งขึ้น

รีวิว Dyson Omni-Glide

โดยที่มีสิ่งเพิ่มขึ้นมาสำหรับหัวดูดแบบนี้ คือมีล้อหมุนได้แบบ 360 องศา ติดตั้งมาให้ 4 ตัวอยู่ด้านใต้ของหัวแปรงดูด ทำให้เวลาที่คุณถือลากเพื่อดูดฝุ่นบนพื้น มันจะไหลลื่นได้แบบทุกทิศทาง ชนิดที่ว่าแทบไม่รู้สึกว่ามีแรงต้านอะไรเลย ให้ความรู้สึกเหมือนชื่อของรุ่นนี้ว่า Omni-Glide” คือ เสมือนว่าตัวหัวดูดมันลอยร่อนไปกับพื้น

รีวิว Dyson Omni-Glide

และการที่มันเลื่อนและหมุนได้อย่างคล่องตัว ทำให้เราใช้งานดูดฝุ่นบนพื้นได้อย่างไหลลื่น การไถไปตามขอบตู้หรือเฟอร์นิเจอร์ก็ทำได้ง่าย หรือจะไถไปใต้โต๊ะก็สามารถหมุนหลบเข้ามุมได้สบายๆ

และที่เด็ดมากๆ คือ ด้วยความที่มันเล็กและบาง เราสามารถวางราบกับพื้นแล้วไถเข้าไปดูฝุ่นใต้ตู้ได้อีกด้วย เรียกว่างานดูดฝุ่นบนพื้นทำได้ดีขึ้นจริงๆ

หัวดูดมีมาให้ใช้ได้ในทุกงานทำความสะอาด

นอกจากหัวดูด Fluffy แบบคู่แล้ว ในแพ็กเกจยังมีอีก 3 แบบให้มาด้วย เพื่อเลือกใช้งานในรูปแบบอื่นๆ

  • หัวดูดแบบ Mini Motor Head : เหมาะสำหรับจัดการกับฝุ่นที่ฝังลึกและต้องใช้กำลังดูดที่มาก อย่างเช่นดูดฝุ่นที่อยู่ในพรม หรือฝุ่นเม็ดละเอียดที่จมติดอยู่กับฟูกที่นอน
  • หัวดูดแบบ worktop: เอาไว้สำหรับใช้ดูดฝุ่นที่จับบนพื้นผิว อย่างหลังตู้ หัวเตียง
  • หัวดูดแบบ 2-in-1 combination : หัวดูดแบบเรียวบาง สำหรับใช้ดูดในพื้นที่แคบ เอาไว้จัดการฝุ่นตามซอกตู้หรือในรถยนต์ เลือปรับหัวเป็นแบบปกติ และมีแปรงแข็งขนาดยาวที่ช่วยกวาดฝุ่นขนาดใหญ่ได้

ปรับวิธีการควบคุมใหม่

การออกแบบของ Dyson Omni-Glide นอกจากเล็กและเบา ยังเปลี่ยนวิธีการควบคุมทำงานใหม่ จากแต่ก่อนเครื่องดูดฝุ่นไร้สายจะใช้วิธีกดสวิตช์แบบไกปืนค้างไว้เวลาที่ใช้งาน แต่ตัว Dyson Omni-Glide ได้เปลี่ยนมาเหลือเพียงแค่ 2 ปุ่มอยู่บนตัวเครื่อง คือปุ่ม เปิด-ปิด การทำงาน และอีกปุ่มคือเลือกปรับระดับความแรงแบบ Eco และ Max

รีวิว Dyson Omni-Glide

ถือว่าปรับใหม่ให้เรียบง่าย และทำให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น อย่างแรกคือ เมื่อเราไม่ต้องกดปุ่มแบบไกปืนค้างไว้ ทำให้เราถือด้ามจับแล้วเดินไถดูดฝุ่นไปได้เลย จะเปลี่ยนสลับมือก็ได้ง่าย และเมื่อต้องใช้งานดูดฝุ่นในที่อื่นอย่างหลังตู้, โซฟา การไม่ต้องกดปุ่มค้างไว้ตอนดูดก็ถือว่าสะดวกขึ้นจริงๆ

ส่วนการปรับระดับความแรง ก็เหลือแค่เลือกแบบ Eco ที่เหมาะสำหรับการใช้งานดูดฝุ่นบนพื้นปกติทั่วไป และแบบ Max สำหรับใช้ดูดฝุ่นแบบฝังแน่น อย่างเช่นฝุ่นบนพรม, โซฟา บนที่นอน เหมาะสำหรับใช้กับหัวดูดแบบ Mini Motor Head

แท่นชาร์จที่สะดวกสุดๆ

รีวิว Dyson Omni-Glide

อีกความประทับใจในการออกแบบของ Dyson Omni-Glide ก็คือ ตัวแท่นชาร์จและ Docking ที่เล็กเหลือเชื่อ แถมยังใช้งานติดตั้งที่สะดวกสุดๆ โดยปกติแล้วตัว Docking สำหรับเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย จะต้องใช้เจาะกับผนังแล้วยึดด้วยน็อต

แต่ของ Dyson Omni-Glide นอกจากแบบเจาะกำแพงแล้ว ยังมีตัวเลือกที่ใช้เป็นเทปกาว 2 หน้าความเหนียวสูง ให้เราเอาไปแปะติดกับกำแพงได้เลย เพราะด้วยน้ำหนักเครื่องที่เบา ทำให้ใช้วิธีติดตั้งแบบนี้ก็ได้ แต่แนะนำว่าให้ติดกับพื้นผิวที่เรียบ อย่างเช่น กระจก, กระเบื้อง, เฟอร์นิเจอร์, ตู้เย็น ฯลฯ โดยทำความสะอาดเช็ดให้สะอาดก่อน แล้วแปะด้วยเทปกาวได้เลย และไม่แนะนำให้ติดกับผนังปูน หรือผนังที่ทาสี เพราะอาจจะหลุดร่อนได้

การติดตั้ง ผมเลือกเป็นแปะเทปกาวด้านหลัง แล้วติดกับตู้เสื้อผ้า ทำได้ง่ายและสะดวกกว่าการเจาะกำแพง ซึ่งอาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่อยู่หอพักหรืออพาร์ทเมนต์

ส่วนตัวอะแดปเตอร์ก็ให้มาเล็กด้วยเช่นกัน พร้อมสายไฟความยาว 1.8 เมตร ช่วยให้สะดวกในการติดตั้งและเปลืองพื้นที่น้อยลงกว่าเดิมมากๆ

ถอดทำความสะอาดง่าย

รีวิว Dyson Omni-Glide

จุดเด่นของเครื่องดูดฝุ่นไร้สายของไดสันก็คือ การถอดเพื่อล้างทำความสะอาดได้อย่างง่ายดาย โดยตัวถังเก็บฝุ่นนั้น จะมีปุ่มกดเพื่อดันแล้วเปิดฝา และเทฝุ่นออก โดยจะดันเลื่อนเอาถังแยกออกมา เพื่อไปล้างน้ำได้ รวมถึงตัวไส้กรองก็ถอดออกไปล้างและตากแดดให้แห้งได้ด้วยเช่นกัน

รีวิว Dyson Omni-Glide

ส่วนหัวแปลง Fluffy ก็ถอดเอาส่วนลูกกลิ้งไมโครไฟเบอร์ไปล้างน้ำได้ และหัวดูดแบบ Mini Motor ก็ถอดลูกกลิ้งยางด้านในไปล้างได้เช่นกัน

สำหรับขั้นตอนการดูแลรักษาและทำความสะอาดโดยละเอียด สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ Dyson.co.th

สรุป รีวิว Dyson Omni-Glide ใช้แล้วประทับใจแค่ไหน?

ตัวเครื่องที่ออกแบบมาให้เล็กและเบาได้อย่างเหลือเชื่อ ทำให้การใช้งานเครื่องดูดฝุ่นไร้สายสะดวกสบายมากกว่าเดิม ด้วยการใช้งานถือด้วยมือเดียวดันถูไปกับพื้นได้แบบแทบไม่ต้องออกแรง ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังใช้ไม้กวาดๆ ไปบนพื้น ส่วนตัวหัวดูดแบบใหม่ที่ดันหมุนเลื้อยเข้าไปดูดในที่แคบหรือซอกขอบต่างๆ ได้ ช่วยให้การทำความสะอาดจัดการกับฝุ่นในบ้านง่ายขึ้นกว่าเดิม

ตัวเครื่องที่เล็กลง ทำให้สะดวกในการจัดเก็บในบ้านมากขึ้น คุณหามุมเล็กๆ ในครัวหรือใต้บันได เอา Docking ไปแปะติดได้อย่าง่ายดาย ไม่ต้องเจาะกำแพง

รีวิว Dyson Omni-Glide

การทดสอบใช้งาน ถือว่าจัดการกับฝุ่นและเศษขยะชิ้นเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ บนพื้นผิวในบ้านทั้งพื้นกระเบื้อง, พื้นไม้ รวมถึงจัดการตามซอกต่างๆ ในบ้านที่มักจะมีฝุ่นเข้าไปสะสม

รวมถึงยังมีหัวดูดให้มาอีก 3 แบบ เพื่อใช้กับงานรูปแบบอื่นๆ ทั้งดูดฝุ่นบนโซฟา, ที่นอน ดูดในซอกหรือพื้นที่เล็กๆ ถือว่ามาให้มาพร้อมสำหรับการทำความสะอาดในบ้านได้เป็นอย่างดี

ข้อสังเกตที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ Dyson Omni-Glide อย่างแรกเลยก็คือ แบตเตอรี่ ด้วยการออกแบบที่ให้มีขนาดเล็กกะทัดรัด ทำให้แบตเตอรี่มีขนาดที่เล็กลงไปด้วย โดยการใช้งานสูงสุดที่ 20 นาทีในโหมด Eco (ถ้าใช้กับหัวดูดแบบมอเตอร์ จะได้นานสุด 18 นาที) และถ้าเลือกแบบ Max ก็จะใช้ได้ประมาณ 5 นาทีเท่านั้น ซึ่งถ้าต้องใช้งานทำความสะอาดต่อเนื่องนานๆ Big cleaning ทั้งบ้าน อาจจะรับมือลำบาก รวมถึงการชาร์จไม่ได้มีระบบชาร์จเร็ว โดยการชาร์จจาก 0-100% ต้องใช้เวลานานถึง 3.5 ชั่วโมง

ต่อมาเรื่องของการใช้งานที่ไม่มีหน้าจอบอกสถานะหรือปริมาณแบตเตอรี่ จุดเดียวที่จะบอกเราได้ว่าแบตเตอรี่ใกล้หมด ก็คือไฟ LED ดวงเล็กๆ ที่ตัวแบต ที่ใช้ใกล้จะหมดจะโชว์กระพริบเป็นสีแดง

รีวิว Dyson Omni-Glide

สรุป Dyson Omni-Glide เหมาะสำหรับใคร เราขอลงความเห็นว่า เหมาะสำหรับการใช้งานสำหรับไลฟ์สไตล์แบบคนเมือง อาศัยห้องพักคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่ไม่มาก เพราะตัวเครื่องที่เล็กช่วยให้คุณเก็บและติดตั้งได้แบบลงตัว การใช้งานแบบไร้สายก็คล่องตัว และประสิทธิภาพของมันก็เหมาะสำหรับการทำงานความสะอาดแบบสม่ำเสมอ รวมไปถีงการทำความสะอาดหนักๆ อย่างดูฝุ่นพรม, ที่นอน ซอกมุมห้อง, เพดานฯ หรือเอาไว้ใช้ดูดฝุ่นในรถยนต์

ถ้าคุณคิดว่าเครื่องดูดฝุ่นไร้สายรุ่นอื่นๆ มีขนาดที่ใหญ่ไป เจ้า Dyson Omni-Glide ถือว่าถูกใจคุณแน่นอน รวมไปถึงการใช่้งานที่ง่ายไม่ยุ่งยาก กดปุ่มเปิดปิดกับเลือกความแรงปกติแบบ Eco กับ max สำหรับญาติผู้ใหญ่ที่ไม่ถนัดกับเทคโนโลยีก็สะดวกใช้ด้วยเช่นกัน

รีวิว Dyson Omni-Glide

ราคาและการจำหน่าย

เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Dyson Omni-Glide ราคา 15,900 บาท เริ่มวางจำหน่ายวันแรก 1 กรกฏาคม 2564 ทางหน้าเว็บไซต์ของ Dyson.co.th และที่หน้าร้าน Dyson Demo 5 สาขา (เซ็นทรัลเวิลด์, พารากอน, เซ็นทรัลลาดพร้าว, ไอคอนสยาม) สินค้ารับประกัน 2 ปี

จุดเด่น

  • ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา แต่พลังในการดูดยังแรงสะใจตามสไตล์ของไดสัน
  • ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก มีแค่ปุ่มกดเปิด-ปิด และเลือกความแรงได้ 2 ระดับ
  • มอเตอร์พลังแรงแต่เสียงในการทำงานค่อนข้างเบา
  • ถอดล้างทำความสะอาดง่าย
  • หัวดูดแบบ omnidirectional soft roller ช่วยให้ดูดฝุ่นได้ง่าย ซอกซอนมุดในที่แคบๆ ได้
  • ในเซ็ตมีหัวดูดมาให้หลายแบบ ครอบคลุมการใช้งานทำความสะอาดทุกประเภทในบ้าน
  • แท่นชาร์จขนาดเล็ก ติดตั้งง่าย อะแดปเตอร์ก็เล็กกว่ารุ่นอื่นๆ

จุดสังเกต

  • ถังเก็บฝุ่นขนาดค่อนข้างเล็ก (0.2 ลิตร)
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้นานสุด 20 นาที และระบบชาร์จไม่มีชาร์จเร็ว
  • ไม่มีหน้าจอแสดงปริมาณแบตเตอรี่ที่เหลือ