สหรัฐฯ ผ่านกฎหมาย สกัดกั้น บริษัทจากจีน ไม่สามารถรับใบอนุญาต FCC ในอุปกรณ์ใหม่ได้

Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามในกฎหมายให้ เพื่อสกัดกั้นบริษัทโทรคมนาคมจากประเทศจีน อย่างเช่น Huawei , ZTE ฯลฯ จากการได้รับใบอนุญาตอุปกรณ์ใหม่จาก หน่วยงานกำกับดูแลด้านสื่อสารโทรคมนาคมของสหรัฐฯ หรือ FCC เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

นี่ถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการกีดกันบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากประเทศจีน เพื่อลดความกังวลด้านความมั่นคงของชาติ

เมื่อเดือนที่ผ่านมา Brendan Carr กรรมาธิการอาวุโสของพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวจะช่วยปิดช่องโหว่ที่ Huawei และบริษัทจีนอื่นๆ ใช้ประโยชน์เรื่องการติดตั้งอุปกรณ์ที่ไม่ปลอดภัยลงในเครือข่ายโทรคมนาคมของประเทศ

ในเดือนมีนาคม 2021 FCC ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านคลื่นวิทยุในสหรัฐฯ ขึ้นบัญชี Huawei , ZTE และบริษัทเทคโนโลยีอื่นจากจีนอีกหลายบริษัทว่า มีความเสี่ยงร้ายแรงต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ โดยลิสท์ดังกล่าวได้รับคำสั่งจากสภาคองเกรสแล้ว ภายใต้กฎหมายปี 2019 แต่ไม่สามารถหยุด FCC จากการออกใบอนุญาตให้แก่บริษัทที่มีชื่อในลิสท์ดังกล่าวได้

US law blocking Huawei ZTE

กฎหมายที่ลงนามใหม่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาได้ผ่านสภาเมื่อเดือนที่แล้ว ด้วยคะแนนเสียง 420 : 4 และผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาอย่างเป็นเอกฉันท์ นี่เป็นสัญญาณของความไม่ไว้วางใจอย่างรุนแรงทางการเมืองในสภาคองเกรสที่มีทั้งต่อรัฐบาลจีนและบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากจีน

อย่างไรก็ตาม ทั้ง Huawei และ ZTE ยังไม่ออกมาให้ความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายใหม่ที่เพิ่งลงนามไป

FCC คืออะไร?

สัญลักษณ์ตัวย่อนี้ หลายคนอาจะเคยเห็นผ่านตากันมาบ้าง บนสินค้าที่เป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า โดย FCC นั้น ย่อมาจาก Federal Communications Commission เป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา มีหน้าที่กำกับดูแลเกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคมและคลื่นวิทยุทุกรูปแบบภายในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ บลูทูธ อุปกรณ์ WiFi , อุปกรณ์ไร้สาย รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ถ้าจะพูดสั้นๆ เข้าใจง่ายสุด FCC ก็คือ กสทช. ของสหรัฐฯ นั่นเอง

และจากมาตรการนี้ ก็จะส่งผลกระทบกับสินค้าเทคโนโลยีที่ผลิตโดยบริษัทจากประเทศจีน จะไม่สามารถจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาได้ และไม่ใช่แค่ HUAWEI และ ZTE เท่านั้น จากกระแสข่าวก่อนหน้านี้ DJI ที่เป็นผู้ผลิตโดรน ก็เป็นเป้าสำคัญที่ทางสหรัฐฯ เพ่งเล็ง

ต้องรอดูกันว่าหลังจากนี้ ธุรกิจการค้าของทางสหรัฐฯ และ จีน จะมีความตึงเครียดมากขึ้นขนาดไหน และจะเกิดผลกระทบใดๆ ต่อตลาดสินค้าใหม่กันบ้าง

ที่มา : South China Morning Post