Facebook เจอวิกฤติครั้งใหม่ แบรนด์ยักษ์ใหญ่คว่ำบาตรงดลงโฆษณา เพราะจัดการ Hate Speech ไม่เด็ดขาดพอ

Facebook ต้องเจอกับวิกฤตครั้งใหม่ เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนมาก เช่น Unilever Coca-Cola, The North Face และ Patagonia เป็นต้น ร่วมกันคว่ำบาตรด้วยการถอดโฆษณาบน Facebook เพื่อต่อต้าน Hate Speech ต่างๆ เช่น การเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ และความรุนแรงต่างๆ ที่พบเห็นได้เป็นจำนวนมากบนโซเชียลมีเดียที่มากขึ้นทุกวัน แต่ดูเหมือน Facebook จะยังไม่มีนโยบายและมาตรการจัดการกับเรื่องนี้ที่ดีพอ บริษัทต่างๆ ตัดสินใจหยุดการซื้อโฆษณากับทาง Facebook ไปก่อน และรอดูว่า Facebook จะจัดการกับ Hate Speech บนแพลตฟอร์มอย่างไร

วันศุกร์ที่ผ่านมา มีการประกาศปรับเปลี่ยนนโยบายหลายตัวโดย Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Facebook และไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น Unilever ก็ประกาศถอดโฆษณาในสหรัฐอเมริกาของ 6 เดือนข้างหน้าออกจาก แพลตฟอร์ม Facebook รวมถึง Instagram และ Twitter ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงบ่ายวันเดียวกัน Cola-Cola, Honda America, แบรนด์ช็อคโกแลต Hershey และบริษัทเสื้อผ้าอย่าง Lululemon และ Jansport ต่างเข้าร่วมในการคว่ำบาตรการลงโฆษณากับทาง Facebook ด้วยเช่นกัน

แคมเปญรณรงค์หยุดการลงโฆษณาบน Facebook นั้นมีชื่อว่า The Stop Hate for Profit โดยมีบริษัทและแบรนด์ต่างๆ เข้าร่วมทั้งรายชื่อแบรนด์ที่กล่าวไว้ข้างต้นและที่ไม่ได้กล่าวถึงรวมอีกกว่า 100 แบรนด์

รายได้ของ Facebook ที่ 7 หมื่นล้านดอลล่าร์ต่อปีนั้น 98% มาจากค่าโฆษณา และหลังจากการประกาศคว่ำบาตรไม่ลงโฆษณาของ Unilever ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Facebook ร่วงลง 7% ซึ่ง Nicole Perrin นักวิเคราะห์จาก eMarketer กล่าวว่า การออกมาคว่ำบาตรของ Unilever ถือเป็นการออกมากดดัน Facebook ได้มาก

The Stop Hate for Profit รายชื่อของบริษัทต่างๆ ที่เข้าร่วมการคว่ำบาตรการลงโฆษณากับ Facebook มีดังนี้

  • Unilever จ่ายค่าโฆษณาให้ Facebook ไป 42.4 ล้านดอลล่าร์ จะหยุดการโฆษณาอีก 6 เดือนที่เหลือของปี 2020 ในสหรัฐอเมริกาบน Facebook, Instagram และ Twitter
  • Honda America จ่ายค่าโฆษณาให้ Facebook ไป 6 ล้านดอลล่าร์ จะหยุดการโฆษณาบน Facebook และ Instagram ของเดือนกรกฎาคม
  • Birchbox บริการความสวยความงาม จ่ายค่าโฆษณาให้ Facebook ไป 947,100 ดอลล่าร์ จะโยกงบโฆษณาของเดือนกรกฎาคมของ Facebook และ Instagram ไปลงในแพลตฟอร์มอื่น
  • Coca-Cola จ่ายค่าโฆษณาให้ Facebook ไป 22.1 ล้านดอลล่าร์ จะหยุดการจ่ายซื้อโฆษณาบนโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มทั่วโลกอย่างน้อย 30 วัน
  • Levi Strauss & Company บริษัทผลิตเสื้อผ้าจ่ายค่าโฆษณาให้ Facebook ไป 2.8 ล้านดอลล่าร์ ระงับการซื้อโฆษณาอย่างน้อยไปจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม และจะกลับมาซื้อโฆษณาอีกครั้งหรือไม่ คงต้องดูการตอบสนองของ Facebook เกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน
  • Lululemon แบรนด์เสื้อผ้าฟิตเนส จ่ายค่าโฆษณาให้ Facebook ไป 1.6 ล้านดอลล่าร์ จะระงับการจ่ายซื้อโฆษณาบน Facebook และ Instagram ไปก่อน
  • Verizon บริษัทโทรคมนาคม จ่ายค่าโฆษณาให้ Facebook ไป 22.9 ล้านดอลล่าร์ จะหยุดซื้อโฆษณาจนกว่า Facebook จะมีทางออกของเรื่องที่นี้ยอมรับได้
  • Eddie Bauer บริษัทค้าปลีก จ่ายค่าโฆษณาให้ Facebook ไป 1.4 ล้านดอลล่าร์ จะระงับการจ่ายซื้อโฆษณาบน Facebook และ Instagram ไปจนถึงเดือนกรกฎาคม
  • Patagonia แบรนด์สินค้า outdoor ชื่อดัง จ่ายค่าโฆษณาให้ Facebook ไป 6.2 ล้านดอลล่าร์ ถอนการโฆษณาบน Facebook และ Instagram ทั่วโลกออกทันที อย่างน้อยไปจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม และรอดูการแก้ไขของ Facebook
  • The North Face จ่ายค่าโฆษณาให้ Facebook ไป 3.3 ล้านดอลล่าร์ จะหยุดโพสต์ content ต่างๆ และหยุดซื้อโฆษณาบน Facebook ไปจนถึงเดือนกรกฎาคม แต่ยังคงโพสต์ลง Instagram อยู่
  • REI จ่ายค่าโฆษณาให้ Facebook ไป 22.5 ล้านดอลล่าร์ จะถอนโฆษณาทั้งหมดออกจาก Facebook และ Instagram ในเดือนกรกฎาคม

นอกจาก Facebook จะได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรครั้งนี้ Twitter เองก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน โดยราคาหุ้นของ Twitter ตก 7.39% แม้ก่อนหน้านี้ทาง Twitter เองจะมีกลไกการใส่ Fact Check เพื่อให้ตรวจสอบที่มาที่ไป และความถูกต้องของข้อมูลกับข้อความทวีตของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ก็ไม่รอดพ้นจากการถูกคว่ำบาตรด้วย

มีรายงานว่า ตัวแทนของ Facebook ได้ออกมาชี้แจงต่อกรณีการคว่ำบาตรของ Unilever ว่า บริษัทลงทุนเป็นเงินจำนวนหลายพันล้านดอลล่าร์เพื่อทำให้แพลตฟอร์มเป็นสังคมที่ปลอดภัย โดยมีการปรึกษาและทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญภายนอก เพื่อปรับปรุงนโยบายให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น แต่ทาง Facebook เองก็ยอมรับว่า บริษัทยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องปรับปรุง และพัฒนาเทคโนโลยีออกมาเพื่อรับมือกับ Hate Speech และความรุนแรงรูปแบบต่างๆบนแพลตฟอร์มของบริษัท รวมถึงเคารพการตัดสินใจของบริษัทและแบรนด์ต่างๆ

การเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้อาจต้องใช้เวลาพอสมควร เราคงต้องจับดูกันว่า Facebook จะรับมือและแก้ไขเรื่องนี้ยังไง

ที่มา : The Guardian | The New York Times | CNN