ผลทดสอบการใช้งานจริง iPhone 6 เล่นเกมได้ดีกว่าเรือธงแอนดรอย

แม้ว่า Snapdragon 820 จะได้รับการยอมรับว่าเป็นซีพียูที่ดีที่สุด หรือแม้แต่ Exynos 8890 ที่ซัมซุงมั่นใจเลือกใช้บน Galaxy S7 แต่กลับแพ้ Apple A8 ที่อยู่บน iPhone 6 เมื่อทดสอบใช้งานจริงไม่อิงสเป็ก

Gizmodo ได้จับมือถือมาทดสอบด้วย Gamebench ที่มีคำนิยามว่า uncheatable benchmark หรือการทดสอบที่ไม่สามารถโกงได้ โดย Gamebench จะวัดค่าต่างๆ เช่น FPS, CPU, GPU และการบริโภคพลังงาน ซึ่งผลที่ได้ออกมาคือ iPhone SE ที่ใช้ Apple A9 หรือแม้แต่ iPhone 6 ที่วางขายตั้งแต่ปี 2014 ทำได้ที่ 59 FPS ในขณะที่ Galaxy S7 edge ที่ขับเคลื่อนด้วย Snapdragon 820 กับ GPU ที่แรงที่สุดในขณะนี้อย่าง Adreno 530 ทำได้ที่ 44 FPS เท่านั้น เช่นกันกับ LG G5 ที่ทำได้ราวๆ 42 FPS หรือแม้แต่มือถือรุ่นล่าสุดที่พึ่งเปิดตัวอย่าง HTC 10 ก็ทำได้เพียง 44 FPS

เกมบนมือถือส่วนใหญ่รองรับ FPS ได้ที่ 30 และรองรับสูงสุดที่ 60 ทางทีมงานเลยหาเกมที่รองรับ 60 FPS มาทดสอบ ซึ่ง Lara Croft Go คือชื่อที่ถูกพูดถึงและ iPhone 6 ทำได้ที่ 59 FPS หรืออาจบอกได้ว่า iPhone 6 ทำ FPS ได้สูงสุดเท่าที่มือถือจะรับได้ ส่วนมือถือในกลุ่มของ android มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 44 FPS เท่านั้น

ทีมทดสอบได้บอกว่า “เสียใจด้วยนะสาวกแอนดรอย” เพราะในความเป็นจริงแล้วนักพัฒนาแอพและเกมให้ความสำคัญ iOS มากกว่า android เลยทำให้การใช้งานจริงแล้ว iOS ให้ผลลัพธ์โดยรวมที่ดีกว่า android

ที่มา: pocketnow

ความเห็นจากทีมข่าวล้ำหน้า

นี่เป็นอีกตัวอย่างที่ชัดเจนที่ผมย้ำตลอดเวลาว่า software มันสำคัญมากๆ แม้ว่า hardware หรือสเป็กจะดีแค่ไหนแต่ถ้า software ไม่ดีมันก็ไม่มีประโยชน์ และนี่ก็คืออีกผลการทดสอบที่บ่งบอกว่าทำไมคนถึงบอกว่า iPhone ลื่นกว่า android เพราะ FPS หรือ Frame per Second ที่แสดงผลได้ถี่กว่าส่งผลให้ภาพดูเนียนตากว่า

บางคนอาจจะแย้งว่าถ้าเป็นแบบนี้ iPhone ก็ต้องแบตหมดเร็วกว่า… แต่ผิดครับ เพราะสถิติออกมาว่า iOS เป็นระบบที่แบตอึดที่สุดถ้าเทียบที่ความจุแบตเตอรี่เท่ากัน

แม้ว่าบางคนจะบอกว่า android เสถียรขึ้น ลื่นขึ้น แต่เอาเข้าจริงมันมีเรื่องของแอพต่างๆ และความหลากหลายของจำนวนรุ่นที่ทำให้นักพัฒนาไม่สามารถเขียนแอพให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุดบน android ทุกรุ่น เว้นแต่ Google จะวางมาตรฐานใหม่ที่ตีกรอบแนวทางมากขึ้น แต่ถ้าทำแบบนั้นก็อาจเกิดปัญหาเพราะ android มีจุดเด่นเรื่องความเป็นระบบเปิด ส่วน Apple เป็นระบบปิดเต็มสูบ ถ้า Google เริ่มตีกรอบแนวทางหลายๆ อย่างก็อาจทำให้ไม่ถูกใจแบรนด์และนักพัฒนาก็เป็นได้ เพราะจะทำให้รูปแบบการแข่งขันทำได้ยากขึ้น