รายงานจาก CNN เผยว่า ผู้บริโภคที่จะซื้อสมาร์ตโฟนใหม่ในปีหน้าอาจจะต้องควักจ่ายแพงขึ้น หลังราคาสมาร์ตโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยสาเหตุหลักมาจากปัญหาขาดแคลนหน่วยความจำ (Memory) ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
Yang Wang นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Counterpoint Research กล่าวว่า สถานการณ์ในตลาดหน่วยความจำตอนนี้ “ตึงเครียดและกดดันอย่างมากในทุกด้าน” ส่วนหนึ่งเพราะผู้ผลิตชิปหน่วยความจำรายใหญ่อย่าง Micron และ Samsung หันไปโฟกัสการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของศูนย์ข้อมูล AI (Data Center) มากกว่าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคทั่วไป
ความต้องการหน่วยความจำจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Meta, Microsoft และ Google ที่เร่งขยายศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับเทคโนโลยี AI ส่งผลให้อุปทานหน่วยความจำสำหรับสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และสมาร์ตวอทช์ลดลงอย่างมาก
รายงานจาก McKinsey & Company คาดการณ์ว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลทั่วโลกจะสูงถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
ข้อมูลจาก Counterpoint Research ระบุว่า ราคาหน่วยความจำคาดว่าจะพุ่งขึ้น 30% ในไตรมาส 4 ของปีนี้ และอาจเพิ่มขึ้นอีก 20% ในช่วงต้นปีหน้า ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสมาร์ตโฟนเพิ่มสูงขึ้น 8-10% ในปี 2025 ตามรายงานของ TrendForce
สมาร์ตโฟน Android ในกลุ่มราคาถูกจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากมีอัตรากำไรต่ำ Nabila Popal ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการวิจัยจาก International Data Corporation (IDC) มองว่า “เกือบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ผลิตจะไม่ปรับราคาขึ้น” สำหรับกลุ่มสมาร์ตโฟน Android ราคาประหยัด
IDC คาดการณ์ว่า ตลาดสมาร์ตโฟนทั่วโลกจะหดตัว 0.9% ในปี 2026 จากปัญหาขาดแคลนหน่วยความจำ แต่ราคาขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นจาก 457 เหรียญในปี 2025 เป็น 465 เหรียญในปี 2026 ทำให้มูลค่าตลาดโดยรวมอาจแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 578.9 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในช่วงปลายปี 2026 เมื่อห่วงโซ่อุปทานปรับตัว ซึ่งอาจช่วยให้ราคากลับมาปกติหรืออย่างน้อยหยุดเพิ่มขึ้น
ข้อมูลจาก: CNN
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
