YouTube เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ AI ในการปรับการเคลื่อนไหวของริมฝีปากให้ตรงกับเสียงพากย์ที่แปลด้วยระบบอัตโนมัติ เพื่อแก้ไขปัญหาการไม่ตรงกันระหว่างภาพและเสียง
ฟีเจอร์นี้ถูกประกาศในงาน ‘Made on YouTube’ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้วิดีโอที่ผ่านการแปลดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น และเพิ่มการเข้าถึงเนื้อหาสำหรับผู้ชมทั่วโลก
เทคโนโลยีใหม่นี้จะเริ่มต้นรองรับ 20 ภาษา รวมถึงภาษาอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส และสเปน โดยคาดว่าจะมีการเพิ่มภาษาอื่นๆ ในเดือนหน้า
ปัจจุบันระบบ auto-dubbing และ auto-translation ของ YouTube ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการแปลงเนื้อหาต้นฉบับเป็นรูปแบบท้องถิ่นโดยอัตโนมัติ ทั้งชื่อเรื่องและแทร็กเสียง
ผู้ใช้หลายคนวิจารณ์ฟีเจอร์เหล่านี้ โดยชี้ให้เห็นว่าพวกเขาต้องการดูเวอร์ชันต้นฉบับ และรู้สึกหงุดหงิดกับการขาดตัวเลือกสากลในการปิดการแปลอัตโนมัติ โดยเฉพาะผู้ใช้ที่พูดได้หลายภาษาแสดงความไม่พอใจเมื่อการแปลด้วย AI ไม่เทียบเท่ากับการแปลโดยมนุษย์
ขณะนี้ยังไม่มีการตั้งค่าส่วนกลางเพื่อปิด auto-dubbing ทำให้ผู้ใช้ต้องปรับการตั้งค่าแทร็กเสียงด้วยตนเองในแต่ละวิดีโอ ข้อจำกัดนี้ทำให้เกิดการสร้าง browser extension เช่น YouTube Anti-Translate เพื่อบล็อกการแปลและการพากย์ที่ไม่ต้องการ
ฟีเจอร์ lip-sync ใหม่นี้มุ่งแก้ไขข้อร้องเรียนที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับการพากย์ คือการไม่ตรงกันระหว่างเสียงและการเคลื่อนไหวของปาก ระบบใช้ AI เพื่อซิงโครไนซ์การเคลื่อนไหวของริมฝีปากผู้พูดกับแทร็กเสียงที่สร้างขึ้น ทำให้ได้ประสบการณ์การรับชมที่ลื่นไหลมากขึ้น
ครีเอเตอร์สามารถเลือกเข้าร่วมฟีเจอร์ lip-sync auto-dubbing ผ่าน YouTube Studio โดยขั้นตอนการทดสอบเริ่มต้นจะเน้นไปที่สมาชิกของ YouTube Partner Program แม้ว่าการเข้าร่วมจะเป็นแบบสมัครใจในปัจจุบัน แต่ Google อาจขยายหรือทำให้ฟีเจอร์นี้เป็นอัตโนมัติสำหรับวิดีโอในวงกว้างมากขึ้นในอนาคต
โครงการพากย์หลายภาษานี้อาศัยโมเดล AI ของ Google รวมถึง Gemini และ Aloud ในการสร้างเสียงแปล จำลองน้ำเสียงและอารมณ์ของผู้พูด และแยกแทร็กเสียงจากเสียงพื้นหลัง การทดสอบเบื้องต้นกับครีเอเตอร์ที่ได้รับเลือกแสดงผลลัพธ์ที่น่าสนใจ โดยบางช่องมีผู้ชมจากภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาหลักเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าหลังจากใช้แทร็กเสียงหลายภาษา
ข้อมูลจาก: TechSpot
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
