Apple ได้เปิดตัว iPhone Air อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งเป็น iPhone ที่บางที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยความหนาเพียง 5.6 มิลลิเมตร พร้อมสมรรถนะระดับ Pro ที่บรรจุอยู่ในตัวเครื่องที่มีน้ำหนักเบาและการออกแบบที่ล้ำสมัย เริ่มให้พรีออเดอร์ในวันศุกร์ที่ 12 กันยายน และจะวางจำหน่ายจริงในวันศุกร์ที่ 19 กันยายน ราคา เริ่มต้นที่ 39,900 บาท สำหรับรุ่น 256GB ในประเทศไทย
การออกแบบที่ล้ำสมัยด้วยวัสดุไทเทเนียมเกรด 5
iPhone Air มาพร้อมกับการปฏิวัติการออกแบบใหม่ที่เน้นความบางเบาแต่แข็งแกร่ง โดยใช้โครงสร้างจากไทเทเนียมเกรด 5 ที่มีพื้นผิวแบบกระจกเงาสูง ซึ่งช่วยให้เครื่องดูหรูหราและทนทาน
จุดเด่นของการออกแบบคือการสร้างพื้นผิวที่เรียกว่า “plateau” บนด้านหลังที่ถูกกัดด้วยความแม่นยำทั้งสองด้าน เพื่อรองรับกล้อง ลำโพง และชิป Apple ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่สำหรับแบตเตอรี่ให้ใหญ่ขึ้น
นอกจากนี้ยังคงมีปุ่ม Action และ Camera Control ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงฟังก์ชันต่างๆ ได้อย่างสะดวก รวมถึงการเปิดกล้องหรือใช้งาน Visual Intelligence ได้อย่างรวดเร็ว

Ceramic Shield 2 เทคโนโลยีป้องกันใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม 3 เท่า
Apple ได้นำเสนอเทคโนโลยี Ceramic Shield 2 ใหม่สำหรับหน้าจอ iPhone Air ซึ่งทนต่อรอยขีดข่วนมากกว่าเดิม 3 เท่า และมีการเคลือบพิเศษที่ช่วยลดการสะท้อนแสงและแสงจ้า
ที่น่าสนใจคือครั้งนี้ Ceramic Shield ถูกนำมาใช้ป้องกันด้านหลังของ iPhone เป็นครั้งแรก รวมถึงบริเวณ plateau ด้วย ซึ่งช่วยให้ทนต่อการแตกหักมากกว่าแบบเดิม 4 เท่า
การผสมผสานระหว่างโครงสร้างไทเทเนียมที่แข็งแกร่งและ Ceramic Shield ทำให้ iPhone Air ทนทานกว่า iPhone รุ่นก่อนหน้าทั้งหมด และผ่านมาตรฐานความแข็งแกร่งในการดัดงอของ Apple อย่างเต็มที่
หน้าจอ Super Retina XDR 6.5 นิ้ว ความสว่างสูงสุด 3,000 nits
iPhone Air มาพร้อมหน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว ที่รองรับเทคโนโลยี ProMotion ด้วยอัตราการรีเฟรชแบบปรับได้สูงสุด 120Hz ทำให้การเลื่อนหน้าจอและกราฟิกดูลื่นไหลมากขึ้น
จอแสดงผลรองรับ Always-On display ที่แสดงข้อมูลสำคัญได้ทันที และเมื่อไม่ใช้งานจะปรับลงมาที่ 1Hz เพื่อประหยัดแบตเตอรี่
ความสว่างสูงสุดของหน้าจอคือ 3,000 nits ซึ่งเป็นค่าสูงสุดเท่าที่เคยมีใน iPhone และมีความคมชัดในที่แสงจ้าดีกว่าเดิม 2 เท่า ทำให้ใช้งานกลางแจ้งได้อย่างสบาย
กล้อง Center Stage 18MP รูปแบบสี่เหลี่ยมครั้งแรกใน iPhone
นวัตกรรมที่น่าสนใจของ iPhone Air คือกล้องหน้า Center Stage ขนาด 18MP ที่มีเซ็นเซอร์รูปแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสเป็นครั้งแรกใน iPhone
กล้องนี้มีมุมมองกว้างและสามารถถ่ายภาพได้สูงสุด 18MP โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องหมุน iPhone เพื่อถ่ายเซลฟี่แนวนอน เพราะสามารถถ่ายภาพและวิดีโอได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอนขณะถือเครื่องแนวตั้ง
สำหรับการถ่ายภาพกลุ่ม Center Stage ใช้ AI ในการขยายมุมมองโดยอัตโนมัติและสามารถหมุนจากแนวตั้งเป็นแนวนอกเพื่อรวมทุกคนในเฟรม นอกจากนี้ยังรองรับการบันทึกวิดีโอ 4K HDR ที่เสถียรสูง
กล้องหลัง Fusion 48MP ความสามารถเทียบเท่าเลนส์ 4 ตัว

ระบบกล้องหลัง Fusion 48MP ใหม่ให้ความสามารถเทียบเท่าเลนส์ 4 ตัวในกระเป๋าเดียว โดยเลนส์หลักแบบกำหนดเองรองรับความยาวโฟกัส 28mm และ 35mm ทำให้มีตัวเลือกในการจัดเฟรมมากขึ้น
เซ็นเซอร์ quad-pixel ขนาดใหญ่ 2.0µm พร้อม sensor-shift OIS ทำงานได้ยอดเยี่ยมในสภาพแสงน้อย ผู้ใช้ยังสามารถเข้าใกล้วัตถุมากขึ้นด้วย Telephoto คุณภาพออปติคัล 2x ที่มา่พร้อม Photonic Engine ที่อัปเดตใหม่
ระบบ image pipeline ใหม่ที่สร้างมาเฉพาะ iPhone Air ช่วยให้ถ่ายภาพ Portrait ได้ในระดับเดียวกับระบบกล้องหลายตัว พร้อม Focus Control ที่จับข้อมูลความลึกโดยอัตโนมัติ
ขุมพลัง A19 Pro, N1 และ C1X ชิปสามตัวที่ทำงานร่วมกัน

iPhone Air ขับเคลื่อนด้วยชิป A19 Pro รุ่นใหม่ที่มี CPU 6 แกนที่ปรับปรุงประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน ให้ CPU ที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟนใดๆ ด้านกราฟิกมี GPU 5 แกนมีสถาปัตยกรรมที่อัปเกรดใหม่ รองรับเกม AAA ระดับมือถือ และมี Neural Accelerator ในแต่ละแกน GPU ที่ให้ประสิทธิภาพการประมวลผล GPU สูงสุดถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
ชิป N1 ใหม่ที่ Apple ออกแบบเองรองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพและความเสถียรของฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Personal Hotspot และ AirDrop
ชิป C1X เป็นโมเด็มเซลลูลาร์ที่ Apple ออกแบบเอง เร็วกว่า C1 สูงสุด 2 เท่า และเร็วกว่าโมเด็มใน iPhone 16 Pro ในขณะที่ใช้พลังงานน้อยกว่า 30%
iOS 26 พร้อม Apple Intelligence และ Live Translation
iPhone Air มาพร้อม iOS 26 ที่มีการออกแบบใหม่แบบ Liquid Glass ทำให้แอปและระบบดูสวยงามและน่าใช้มากขึ้น พร้อมเน้นเนื้อหาในขณะที่ยังคงความคุ้นเคยของ iOS
Apple Intelligence ใน iOS 26 รองรับ Live Translation ที่แปลข้อความและเสียงได้ทันที ช่วยในการสื่อสารข้ามภาษาใน Messages, FaceTime และ Phone
Visual Intelligence ได้รับการอัปเดตให้ผู้ใช้สามารถจับภาพหน้าจอและค้นหาหรือดำเนินการกับสิ่งที่กำลังดูอยู่บนหน้าจอ iPhone ได้อย่างง่ายดาย
แบตเตอรี่ทั้งวันและ Adaptive Power Mode ใหม่
ด้วยชิป Apple ขั้นสูง สถาปัตยกรรมภายในที่เพิ่มพื้นที่สำหรับแบตเตอรี่ และการปรับปรุงซอฟต์แวร์ iPhone Air ให้อายุแบตเตอรี่ที่ยอดเยี่ยมตลอดทั้งวัน
Adaptive Power Mode ใหม่ใน iOS 26 เรียนรู้รูปแบบการใช้แบตเตอรี่ของผู้ใช้และคาดการณ์เมื่อแบตเตอรี่จะหมด จากนั้นจะประหยัดพลังงานอย่างชาญฉลาดเพื่อช่วยให้ใช้งานได้ตลอดวัน

รุ่นและราคาในประเทศไทย
iPhone Air จะมีจำหน่ายใน 4 สี ได้แก่ space black, cloud white, light gold และ sky blue
ราคาในประเทศไทย:
- iPhone Air รุ่น 256GB ราคา 39,900 บาท
- iPhone Air รุ่น 512GB ราคา 47,900 บาท
- iPhone Air รุ่น 1TB ราคา 55,900 บาท
ลูกค้าสามารถพรีออเดอร์ได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 12 กันยายน เวลา 19.00 น. และจะเริ่มวางจำหน่ายจริงในวันศุกร์ที่ 19 กันยายน
อุปกรณ์เสริมใหม่เพื่อเสริมประสบการณ์การใช้งาน

Apple ได้เปิดตัวระบบอุปกรณ์เสริมใหม่เพื่อเสริมการออกแบบที่ล้ำสมัยของ iPhone Air
- iPhone Air Case with MagSafe มีการออกแบบแบบโปร่งใสบางพิเศษ มาในสี frost และ shadow ด้วยพื้นผิวภายในแบบฟรอสต์เบาๆ และพื้นผิวภายนอกแบบเงาสูง
- iPhone Air Bumper บางและเบา มีให้เลือก 4 สีที่เข้ากับตัวเครื่อง ช่วยปกป้องขอบเครื่องด้วยการออกแบบ polycarbonate ที่แข็งแกร่ง
- Crossbody Strap ทำจากเส้นใยรีไซเคิล 100% มีแม่เหล็กฝังในตัวและกลไกสแตนเลสสำหรับปรับความยาว มีให้เลือก 10 สี
- iPhone Air MagSafe Battery มีการออกแบบบางและเบา ติดกับด้านหลังเครื่องได้อย่างลงตัว ช่วยชาร์จเมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อย และเพิ่มอายุการใช้งานสูงสุด 40 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกัน
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
