เมื่อ Death Stranding ภาคแรกเปิดตัวในปี 2019 ต้องยอมรับว่ากระแสของเกมนั้นมีการแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน บางคนมองว่าเป็นผลงานชิ้นเอกที่ท้าทายและลึกซึ้ง ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าเป็นเพียง “เกมส่งของ” ที่น่าเบื่อ ส่วนตัวผมอยู่ในกลุ่มแรก ที่ชื่นชอบในแนวคิดการเชื่อมโยงมนุษย์ท่ามกลางโลกที่แตกสลาย และประทับใจในวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญของ ฮิเดโอะ โคจิมะ ที่สร้างเกมเพลย์ที่แปลกแหวกแนว สร้างสรรค์ และให้ประสบการณ์เล่นเกมที่โดดเด่นชัดเจน
ปีนี้ Death Stranding 2: On the Beach ภาคต่อก็เปิดตัวมาเป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่ได้ลองเล่นเกมไปหลายสิบชั่วโมง ก็ต้องบอกเลยว่า Death Stranding 2 คือภาคต่อที่แฟนๆ จากภาคแรกต้องการเห็น มันคือการปรับปรุงที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้โดยไม่สูญเสียตัวตนเดิม และที่สำคัญคือ และสัมผัสได้เลยว่านี่คือหนึ่งในตัวเต็งของ Game of the Year 2025 อย่างแน่นอน
ความรู้สึกแรกสัมผัส: ก้าวข้ามข้อจำกัดของภาคแรก
สิ่งที่สัมผัสได้ทันทีเมื่อเริ่มเล่น Death Stranding 2 คือความรู้สึก “มั่นใจ” ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เกมนี้รู้ดีว่าตัวเองคืออะไร รู้ว่าจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองอยู่ตรงไหน และที่สำคัญคือ โคจิมะ และทีมงานไม่ได้กลัวที่จะปรับปรุงสิ่งที่ไม่ดี
การเดินทางที่เคยเป็น “ภาระหน้าที่” ในภาคแรกกลับกลายเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานและน่าติดตาม ความรู้สึกหนักใจจากการต้องคิดคำนวณทุกก้าวเมื่อแบกสัมภาระหนักๆ ยังคงมีอยู่ แต่ตอนนี้มันมาพร้อมกับเครื่องมือและระบบต่างๆ ที่ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเกมกำลัง “ท้าทาย” ผู้เล่นมากจนเกินไป
ยานพาหนะ ในเกมนี้หลากหลายและปรับแต่งได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อได้ลองขี่รถมอเตอร์ไซค์ข้ามทะเลทราย หรือขับรถบรรทุกพิเศษที่ติดตั้งปืนกลให้เตรียมรับมือกับโจรสลัด ผมรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ภาคแรกควรจะมี แต่ตอนนั้นเทคโนโลยีอาจจะยังไม่พร้อม
ระบบ รถไฟโมโนเรล ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาเปลี่ยนเกมการขนส่งไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อคุณสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมระหว่างเมืองต่างๆ ได้แล้ว การขนสินค้าจำนวนมากกลายเป็นเรื่องง่าย และที่สำคัญคือให้ความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโลกใหม่อย่างแท้จริง
เมื่อเปรียบเทียบกับภาคแรกแล้ว การต่อสู้ในภาคนี้เน้นการรับมือมากขึ้น โดยมีคลังแสงที่ขยายใหญ่ขึ้นและยานพาหนะที่ปรับแต่งได้ ขณะที่การเดินทางก็ลดแรงเสียดทานลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โทนเรื่องราวเปลี่ยนจากการเดินทางที่โดดเดี่ยวไปสู่ความใกล้ชิดที่อ่อนโยนและการสัมผัสทางกายภาพ ส่วนการรวมดนตรีก็เปลี่ยนจากการจัดวางเฉพาะช่วงเวลาสำคัญมาสู่การให้ผู้เล่นควบคุมได้ด้วยเพลย์ลิสต์ส่วนตัวและเพลงประกอบที่สร้างขึ้นตามสถานการณ์
วิวัฒนาการของเกมเพลย์: การเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

การสำรวจโลกออสเตรเลียที่กว้างใหญ่และท้าทาย
แก่นหลักของการส่งพัสดุข้ามภูมิประเทศที่อันตรายยังคงเป็นหัวใจสำคัญ แต่ขอบเขตได้ขยายออกไปอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ การเดินทางจะพาผู้เล่นข้ามทวีปออสเตรเลียที่กว้างใหญ่และหลากหลาย หลังจากบทนำสั้นๆ ในเม็กซิโก
ทวีปใหม่นี้มี “สถานที่ที่หลากหลายมากขึ้น” เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์และความท้าทายอย่างสม่ำเสมอ ผู้เล่นจะต้องเผชิญกับอันตรายจากธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น พายุทรายที่พัดกระหน่ำ ทำให้การทรงตัวยากขึ้นและทัศนวิสัยลดลง หรือว่าจะเป็นแผ่นดินไหวที่ทำให้พื้นดินเคลื่อนที่และทำให้สินค้าหล่น และแม่น้ำที่เพิ่มระดับและขนาดขึ้นหากฝนตกหนักพอ
สิ่งที่น่าสนใจคือสภาพแวดล้อมเหล่านี้ไม่ใช่แค่สิ่งกีดขวางในการเล่นเกมเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับคำถามหลักของเกมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษยชาติกับธรรมชาติและเทคโนโลยี การกระทำของผู้เล่นในการนำทางและเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ เช่น การจัดเตรียมบันได การใช้ยานพาหนะ กลายเป็นการมีส่วนร่วมโดยตรงกับความขัดแย้งทางปรัชญานี้

การเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญ ผู้เล่นจะต้องศึกษาแผนที่และจัดเตรียมสัมภาระให้เหมาะสม เช่น นำบันไดสำหรับแม่น้ำที่ลึกเกินไป หรือระเบิดเลือดสำหรับ BTs (Beached Things) ยานพาหนะถูกนำมาใช้ตั้งแต่ช่วงต้นเกมและสามารถปรับแต่งได้อย่างกว้างขวาง ทำให้สามารถเดินทางได้เร็วขึ้น และแม้กระทั่งมีความสามารถในการป้องกันด้วยป้อมปืน
การสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการเดินทางที่ไร้รอยต่อ
แง่มุมของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานร่วมกันกลับมาและได้รับการขยายออกไป ผู้เล่นมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่ในการสร้างถนนและสะพานขึ้นใหม่ คุณสมบัติใหม่ที่สำคัญคือความสามารถในการสร้างระบบรถไฟโมโนเรล ซึ่งช่วยให้การขนส่งสินค้าจำนวนมากเป็นไปอย่างรวดเร็วและเชื่อมโยงอาณานิคมที่โดดเดี่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ระบบ Automated Porter Assistant System (APAS) ทำหน้าที่เป็นผังทักษะที่ครอบคลุม ช่วยให้ผู้เล่นสามารถปลดล็อกการปรับปรุงในห้าหมวดหมู่ ได้แก่ ผู้ขนส่ง การต่อสู้ การลอบเร้น การบริการ และการเชื่อมโยงสะพาน ทำให้มั่นใจว่าความก้าวหน้าของตัวละครสอดคล้องกับรูปแบบการเล่นที่หลากหลาย
การต่อสู้ที่เร้าใจและสร้างสรรค์

Death Stranding 2 ให้ความสำคัญกับการต่อสู้มากขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาที่โดดเด่นจากภาคแรกที่การต่อสู้มักถูกมองว่าเป็นเรื่องรองและเน้นที่การลอบเร้นซ่อนตัวมากกว่า โดยระบบการต่อสู้ภาคนี้จะรวดเร็วและทรงพลังมากขึ้น
ความสนุกเริ่มตั้งแต่ คลังแสงของ Sam ที่อลังการมากขึ้น มีเครื่องมือที่เปลี่ยนเกมได้ เช่น ปืนไรเฟิลสไนเปอร์ยาสลบ ผู้เล่นสามารถเข้าร่วมการต่อสู้โดยตรง ใช้กลยุทธ์การลอบเร้น หรือหลีกเลี่ยงศัตรูโดยสิ้นเชิงโดยการนำทางในภูมิประเทศที่ยากลำบาก ความพึงพอใจมาจากการโจมตีที่วางแผนไว้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีความตื่นเต้นเมื่อสิ่งต่างๆ ผิดพลาดและต้องรีบจัดการกับคลังแสงในขณะที่ศัตรูเข้าประชิด
ศัตรูประเภทใหม่ รวมถึงหุ่นยนต์ซามูไรถือดาบและ BTs ที่ทรงพลังขึ้น ช่วยเพิ่มความท้าทาย รวมถึงตัวเกมได้รับการออกแบบให้การต่อสู้ไม่ใช่ภาระที่หนักเกินไป แม้แต่การต่อสู้กับบอสสำหรับผู้เล่นที่ไม่อยากปะทะก็สามารถข้ามไปได้ทั้งหมด
แม้การต่อสู้จะมีความโดดเด่นมากขึ้น การตัดสินใจให้ผู้เล่นข้ามส่วนที่ยากลำบากหรือแม้แต่การต่อสู้กับบอสได้ เชื่อว่าผู้สร้างก็ยังให้ความสำคัญกับการเดินทางตามเนื้อเรื่องและการเข้าถึงของผู้เล่น มากกว่าที่จะกลายเป็นการท้าทายการต่อสู้ล้วนๆ
เรื่องราวและธีม: การสำรวจความหมายของการเชื่อมโยง

การวิเคราะห์การเล่าเรื่องที่เน้นอารมณ์มากขึ้น
Death Stranding 2 สร้างโทนอารมณ์ที่ชัดเจนขึ้นในทันที เรื่องราวเริ่มต้นด้วย Sam ที่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษกับ Lou ลูกสาวบุญธรรมของเขาในเม็กซิโก ซึ่งเป็นภาพความสุขในบ้านที่ถูกขัดจังหวะในไม่ช้า ทำให้ Sam ต้องกลับมาปฏิบัติภารกิจอีกครั้ง รากฐานส่วนตัวนี้ทำให้การเล่าเรื่องไซไฟอันยิ่งใหญ่มีพื้นฐานอยู่บนอารมณ์ของมนุษย์ที่เข้าถึงได้
การเดินทางใน Death Stranding ภาคนี้ Sam จะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป แต่เป็นการรวมตัวกันอย่างอ่อนโยน ทีมงานของ Sam ขยายตัว กลายเป็นครอบครัวที่สอง โดยเน้นย้ำถึงการเชื่อมโยงและความเป็นเพื่อนของมนุษย์ท่ามกลางความอ้างว้างของโลกที่ล่มสลาย
การสำรวจการเล่าเรื่องอันเป็นเอกลักษณ์ของโคจิมะ
ความแปลกประหลาดทางอภิปรัชญา อันเป็นเอกลักษณ์ของโคจิมะ และองค์ความรู้ที่ซับซ้อน เต็มไปด้วยคำย่อที่เข้าใจยาก เช่น Plate Gates และ APAS 4000 มีอยู่ตั้งแต่เริ่มต้น อย่างไรก็ตาม การรวมระบบติดตามองค์ความรู้ในเกมที่เรียกว่า The Corpus แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะทำให้ผู้เล่นเข้าใจโลกของเกมนี้ได้ง่ายขึ้น
การกลับมาของตัวละครหลักอย่าง Fragile (Léa Seydoux) และ Higgs (Troy Baker) ที่โดดเด่นพร้อมขโมยซีนเด่นๆ พร้อมกับนักแสดงใหม่ๆ ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างการเล่าเรื่อง
การเน้นย้ำถึงธีม ความใกล้ชิดที่อ่อนโยน และการสัมผัสของมนุษย์
มีการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในการนำเสนอการเชื่อมโยงของเกม ในขณะที่ภาคแรกมุ่งเน้นไปที่ chiralgrams ดิจิทัล แต่ใน Death Stranding 2 เน้นย้ำอย่างชัดเจนถึงความสำคัญของการสัมผัสของมนุษย์ทางกายภาพ
เกมมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในภาพลักษณ์ของร่างกาย ไปสู่การจูบและการสัมผัสกัน ซึ่งสรุปได้ด้วยวลีที่สะเทือนใจว่า Chiralgrams ยอดเยี่ยม แต่ไม่มีอะไรเทียบได้กับการกอด คุณภาพที่สัมผัสได้อย่างมุ่งมั่นนี้ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่และน่าประทับใจอย่างแท้จริง
ผลลัพธ์ที่น่าพอใจที่สุดของเรื่องราวมักจะเกี่ยวข้องกับการเดินทางส่วนตัวของ Sam และการแก้ไขปัญหาทางอารมณ์ของเขา มากกว่าแค่ชะตากรรมของโลก
งานศิลป์และบรรยากาศ: ประสบการณ์ภาพและเสียงอันน่าทึ่ง

ความสวยงามและการออกแบบโลกที่ไม่เหมือนใคร
ในด้านภาพ Death Stranding 2 ถือว่าน่าประทับใจมาก แสดงให้เห็นภาพที่สวยงาม และโลกที่สวยงาม น่าสะพรึงกลัว ละเอียดอ่อน งานศิลปะของเกมมีความละเมียดละไมและมีคุณภาพระดับภาพยนตร์ดีๆ เรื่องนึงเลยทีเดียว
ฉากใหม่ของออสเตรเลียถูกบรรยายว่าเป็นความยิ่งใหญ่ที่แห้งแล้งและขรุขระ ให้ความรู้สึกไม่น้อยไปกว่าสหรัฐอเมริกาที่ปกคลุมด้วยมอสของเกมภาคแรก และเป็นฉากที่ดียิ่งขึ้นในการสำรวจความวุ่นวายของโลกที่เกิดจาก Death Stranding เราสัมผัสได้ว่าในภาคนี้ โคจิมะ ได้รับอิทธิพลจากภาพยนตร์หลายเรื่องมาประกอบกัน ทำให้ดินแดนแห้งแล้งแห่งนี้มีความสวยงามพร้อมสร้างบรรยากาศให้การเล่นเกมที่สมบูรณ์แบบ
เกมนี้สามารถนำเสนอช่วงเวลาที่เงียบสงบซึ่งความแปลกประหลาดทำให้สมองสะดุง เช่น การพบจิงโจ้ตัวเดียวในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ซึ่งให้ความรู้สึกมหัศจรรย์ในโลกที่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ถูกทำลายล้างไปแล้ว สิ่งนี้เน้นย้ำถึงความสามารถของเกมในการกระตุ้นความรู้สึกที่ลึกซึ้งผ่านการเล่าเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ละเอียดอ่อน
สภาพแวดล้อมที่ดูเหมือนแห้งแล้งไม่ได้เป็นข้อจำกัด แต่เป็นการเลือกทางศิลปะที่จงใจ ซึ่งทำหน้าที่เป็นอุปมาอุปไมยทางภาพที่ทรงพลังสำหรับธีมของเกมเกี่ยวกับภัยพิบัติทางนิเวศวิทยาและการสูญเสีย การพบเจอสัตว์ป่าที่หาได้ยากและมหัศจรรย์ เพิ่มความรู้สึกของการอ้างว้างและเน้นย้ำถึงความมีค่าของชีวิต การบูรณาการการออกแบบสิ่งแวดล้อมเข้ากับเรื่องราวและความลึกซึ้งทางธีมนี้สร้างบรรยากาศที่ดื่มด่ำ และมีผลกระทบทางอารมณ์ที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อคุณค่าทางศิลปะของเกมและการยืนหยัดในฐานะผู้ท้าชิง Game of the Year

ตัวเกมยังมี Photo Mode ที่ให้แคปภาพในเกมและปรับแต่งแสงสีแบบช่างภาพ เพื่อให้ได้ภาพ Screenshot ระหว่างที่เล่นเกมในมุมมองของเราเอง เอาไว้สำหรับแชร์ได้สวยงามอีกด้วย
เพลงประกอบที่ทรงพลัง
เพลงประกอบในภาคนี้ เป็นอีกสิ่งที่ส่งเสริมให้การเล่นมีอรรถรสมากขึ้น ตัวเพลงประกอบหลายเพลงเป็นแบบสร้างขึ้นตามสถานการณ์ซึ่งปรับเปลี่ยนตามการกระทำของผู้เล่นในเกม ในภาคนี้เปิดกว้างให้ผู้เล่นควบคุมได้มากขึ้นด้วยเครื่องเล่นเพลงในเกม ทำให้พวกเขาสามารถเลือกเพลงที่ปลดล็อกได้หรือสร้างเพลย์ลิสต์
การเปิดให้ผู้เล่นเลือกและปรับแต่งเพลงประกอบระหว่างที่เล่นเกม ถือว่าน่าสนใจและนำเสนอให้รู้สึกเหมือนในโลกความเป็นจริงที่เวลาการเดินทางไกลๆ เราก็อยากจะเลือกฟังเพลงหรือมีดนตรีที่ชื่นชอบเปิดคลอไปด้วยอย่างเพลิดเพลิน
ทำไม Death Stranding 2 จึงเป็นตัวเต็ง Game of the Year 2025
ส่วนตัวผมมองว่า Death Stranding 2: On the Beach ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เป็นเกมที่ผลักดันอุตสาหกรรมไปข้างหน้าและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เกมนี้ประสบความสำเร็จผ่านการผสมผสานที่ทรงพลังของการเล่าเรื่องไซไฟที่ซับซ้อนและแอ็กชันลอบเร้นที่พัฒนาขึ้นอย่างน่าตื่นเต้น
ความลึกซึ้งทางอารมณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสำรวจความใกล้ชิดที่อ่อนโยน และคำถามที่สะเทือนใจว่าเราควรเชื่อมต่อกันหรือไม่ สะท้อนอย่างลึกซึ้งกับประสบการณ์ร่วมสมัยทั่วโลก ทำให้เกมนี้ดิบ เป็นมนุษย์และซื่อสัตย์อย่างไม่น่าเชื่อ
การเล่นเกมที่ได้รับการปรับปรุง ด้วยการต่อสู้ที่ดีขึ้น ตัวเลือกการเดินทางที่ขยายออกไป และแรงเสียดทานที่ลดลง ทำให้เป็นเกมที่สนุกสนานยิ่งขึ้นอย่างแท้จริง
สรุป รีวิว Death Stranding 2: On the Beach

รีวิว Death Stranding 2: On the Beach ผมได้ทดสอบบนเวอร์ชัน PlayStation 5 ถือว่าตัวเกมให้ประสบการณ์การเล่นที่ดีเยี่ยม ยกให้เป็นผลงานมาสเตอร์พีชอีกเกมของโคจิมะ เกมทรงพลังในการเล่าเรื่อง ความท้าทาย การกระตุ้นอารมณ์ที่ลึกซึ้ง และนำเสนอการผจญภัยที่แปลกประหลาดอย่างสวยงาม
ตัวเกมที่เป็นภาคต่อ แม้ว่าคุณอาจจะยังไม่ได้เล่นภาคแรกมา ก็ยังเริ่มเล่นที่ภาคนี้ได้ แต่เพื่อความสมบูรณ์มากขึ้น ผมก็อยากแนะนำให้ไปเล่นภาคแรกมาก่อนเพื่ออรรถรสที่เต็มอิ่มากขึ้น
ถือว่าเป็นเกมแนวแอคชั่นที่มีความเป็นตัวเองที่เต็มเปี่ยม ชัดเจน และอย่างที่เกริ่นไป นี่คือหนึ่งให้เกมที่ดีที่สุดของปีนี้ที่เราไม่อยากให้คุณพลาดเลย
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
