Canon ฉลองครบรอบ 20 ปี กล้องดิจิทัลแบบเปลี่ยนเลนส์ตระกูล EOS 5 ที่ได้ส่งมอบคุณค่าใหม่ให้วงการช่างภาพทั้งมืออาชีพและสมัครเล่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งานยุคใหม่
กล้องตระกูล EOS 5 เริ่มต้นความยิ่งใหญ่ในเดือนกันยายน 2548 ด้วยรุ่น EOS 5D ซึ่งเป็นกล้อง DSLR รุ่นแรกของแคนนอนสำหรับผู้ใช้งานสมัครเล่นขั้นแอดวานซ์ที่มาพร้อมเซนเซอร์ CMOS แบบฟูลเฟรม ก่อนหน้านั้นเซนเซอร์แบบนี้มีเฉพาะในกล้องระดับมืออาชีพเท่านั้น จุดเด่นของกล้องรุ่นนี้คือความละเอียดภาพดีเยี่ยม สีสันอิ่มสวยเป็นธรรมชาติ และช่วง ISO ที่กว้าง
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2551 เมื่อแคนนอนเปิดตัว EOS 5D Mark II ซึ่งเป็นกล้องรุ่นแรกของซีรีส์ที่สามารถถ่ายวิดีโอระดับ Full HD ปลุกกระแสการถ่ายวิดีโอด้วยกล้อง DSLR และกลายเป็นทางเลือกใหม่ของสายคอนเทนต์
การพัฒนาอย่างต่อเนื่องนำมาซึ่งรุ่น EOS 5D Mark III ในปี 2555 ที่มีระบบออโต้โฟกัสแม่นยำยิ่งขึ้น ตามด้วย EOS 5Ds และ EOS 5Ds R ในปี 2558 ที่มีความละเอียดภาพสูงสุดในโลกขณะนั้นที่ 50.6 ล้านพิกเซล และ EOS 5D Mark IV ในปี 2559 ที่ให้สเปกสมดุลอย่างลงตัว
ก้าวสำคัญสู่ยุคมิเรอร์เลสเกิดขึ้นในปี 2563 เมื่อแคนนอนเปิดตัว EOS R5 กล้องมิเรอร์เลสฟูลเฟรมรุ่นแรกในระบบ EOS R ที่มีเลข “5” ในชื่อรุ่น มาพร้อมโปรเซสเซอร์ประสิทธิภาพสูง และเป็นกล้องเปลี่ยนเลนส์รุ่นแรกของโลกที่รองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 8K ได้อย่างลื่นไหล
รุ่นล่าสุด EOS R5 Mark II ที่เปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2567 ได้รับการพัฒนาครั้งใหญ่ด้วยระบบประมวลผลภาพแบบใหม่ “Accelerated Capture” และการใช้เทคโนโลยี Deep Learning เสริมประสิทธิภาพการติดตามวัตถุและการเคลื่อนไหว มอบประสบการณ์การใช้งานที่คล่องตัวและแม่นยำสูง
นับถึงปัจจุบัน แคนนอนได้เปิดตัวกล้องตระกูล EOS 5 ไปแล้วทั้งหมด 8 รุ่น ซึ่งทุกรุ่นล้วนแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีการถ่ายภาพและวิดีโอ ตั้งแต่ยุค DSLR จนถึงระบบมิเรอร์เลสที่ทันสมัย ครองใจช่างภาพทั้งมืออาชีพและสมัครเล่นด้วยคุณภาพ ความทนทาน และฟีเจอร์ระดับมืออาชีพที่ตอบโจทย์การสร้างสรรค์ผลงานอย่างไร้ขีดจำกัด
แคนนอนยังคงเดินหน้าส่งเสริมวัฒนธรรมการถ่ายภาพและวิดีโออย่างต่อเนื่อง ผ่านการแสวงหาเทคโนโลยีล้ำสมัยและพลังแห่งการถ่ายทอดความประทับใจ ผ่านกล้องตระกูล EOS 5 ที่ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่องตลอด 20 ปีที่ผ่านมา
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
