หลังจากที่แฟนๆ รอคอยมากว่า 10 ปี Sony ก็ได้ประกาศเปิดตัว RX1R III กล้องคอมแพคแบบเลนส์ติดตั้งในตัวที่ผู้เชี่ยวชาญยกให้ว่า นี่เป็นหนึ่งในกล้องพกพาที่ดีที่สุดในโลก ที่มาพร้อมการอัปเกรดสำคัญทั้งเซ็นเซอร์และระบบโฟกัสอัตโนมัติ
การอัปเกรดครั้งใหญ่ที่สุดของ RX1R III คือเซ็นเซอร์ full-frame ความละเอียด 61 เมกะพิกเซล เพิ่มขึ้นจาก 42.4 เมกะพิกเซลของรุ่นเก่า ทำให้ได้ภาพที่คมชัดและมีรายละเอียดมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังได้รับการอัปเกรดด้วยโปรเซสเซอร์ Bionz XR และ AI ล่าสุดของ Sony
ระบบโฟกัสอัตโนมัติก็ได้รับการปรับปรุงอย่างมาก มาพร้อมจุดตรวจจับ 693 จุด แบบ phase-detection ที่สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของร่างกายมนุษย์และจับโฟกัสที่ใบหน้าหรือดวงตาได้แม่นยำ แม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่ได้มองไปที่กล้องโดยตรงหรือใบหน้าถูกบดบังบางส่วน
เพื่อชดเชยข้อจำกัดของเลนส์ติดตัว Zeiss Sonnar T 35mm F2 กล้องรุ่นนี้มาพร้อมฟีเจอร์ Step Crop Shooting ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนมุมมองการถ่ายภาพจาก 35mm เป็น 50mm และ 70mm ได้โดยการครอปเซ็นเซอร์ ยังมีโหมดมาโครที่สามารถโฟกัสวัตถุในระยะใกล้เพียง 20 เซนติเมตร
Sony ปรับปรุงดีไซน์เพื่อให้เน้นความพกพามากขึ้น โดยใช้ตัวเครื่องที่ทำจาก magnesium alloy และเปลี่ยนหน้าจอหลังเป็นแบบคงที่แทนที่จะพับได้เหมือนรุ่นเก่า แม้จะทำให้การถ่ายภาพในมุมต่างๆ อาจลำบากกว่าเดิม แต่ก็ช่วยให้กล้องมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาลงอย่างชัดเจน
ด้านวิดีโอ RX1R III สามารถบันทึกได้ที่ความละเอียด 4K ที่ 30fps หรือ 1080p ที่ 120fps พร้อมรองรับ picture profile S-Cinetone ของ Sony สำหรับลุคที่มีความ cinematic มากขึ้น รวมถึง Creative Looks 12 แบบที่สามารถปรับแต่งได้ทั้งสำหรับภาพนิ่งและวิดีโอ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่อาจทำให้หลายคนต้องคิดทบทวนคือราคาของ RX1R III ที่ $5,099.99 (ประมาณ 166,000 บาท) แพงขึ้นเกือบ $2,000 จากรุ่นเก่าที่เคยขายในราคา $3,300 ทำให้ต้องแข่งขันกับคู่แข่งระดับสูงอย่าง Fujifilm GFX100RF ($4,899.95) และ Leica Q3 ($5,995)
RX1R III คาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม 2025 สำหรับช่างภาพที่ต้องการกล้องคุณภาพสูงในขนาดที่พกพาสะดวก รุ่นนี้ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่หากไม่ได้เน้นเรื่องขนาดมาก Sony ยังมีทางเลือกอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าและราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า
ข้อมูลจาก: The Verge
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
