รีวิว Nothing Phone (3) สมาร์ตโฟนที่ประกาศตัวเองว่า “ฉันนี่ล่ะ เรือธงตัวจริง” สิ่งที่เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในรุ่นที่ 3 หลังจากที่รอมานานพอสมควร เห็นถึงความตั้งใจในการพัฒนา โดยที่ยังเต็มเปี่ยมในความชัดเจนทั้งด้านการออกแบบ และประสบการณ์ใช้งานที่ต่างจากสมาร์ตโฟนอื่นๆ ในตลาด
Nothing ก่อตั้งขึ้นในลอนดอนเมื่อปี 2020 โดยมีเป้าหมายในการสร้างบริษัทเทคโนโลยีที่แตกต่างออกไป มุ่งเน้นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์โดยนำผู้คน การออกแบบ และความตื่นเต้นกลับมาเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยี ภายในเวลาเพียงสี่ปี บริษัทได้เติบโตอย่างรวดเร็วและมียอดขายรวมแล้วมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนถึงการตอบรับและเติบโตในตลาดทั่วโลก
Carl Pei ผู้ก่อตั้ง Nothing นิยามให้ Phone (3) คือ “True Flagship” แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานที่พวกเขาไม่ได้แค่ต้องการสร้างโทรศัพท์ที่ “ดูแตกต่าง” อีกต่อไป แต่ต้องการสร้างโทรศัพท์ที่ “ให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด” ในทุกมิติเพื่อแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ในตลาดพรีเมียมอย่างแท้จริง
TechOffside เราได้ทดสอบลองใช้งานในการ รีวิว Nothing Phone (3) มาประมาณเกือบ 2 อาทิตย์ เราสัมผัสได้ถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการจะผลักดันสินค้าออกมาสู่ตลาดตามปรัชญาของตนเองอย่างแรงกล้า และมีเป้าหมายที่ไม่ใช่แค่เข้ามาเป็นเพียง “แบรนด์ทางเลือก” อีกต่อไป แต่มีเป้าหมายที่จะเข้ามาเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในตลาดสมาร์ตโฟน ด้วยนวัตกรรมและประสบการณ์ระดับพรีเมียมที่หาไม่ได้จากสมาร์ตโฟนแบรนด์อื่น
เรามาดูกันดีกว่าว่า ความอินดี้ของแบรนด์นี้ กับสมาร์ตโฟนระดับเรือธงที่แท้จริงรุ่นนี้ มีดีขนาดที่คุณควรจะทิ้งมือถือเครื่องเดิมเครื่องเก่า แล้วมาเร้าใจกับ Nothing Phone (3) รุ่นนี้หรือไม่?
แกะกล่อง Unbox







แพ็กเกจของ Nothing Phone (3) มาในขนาดมินิมอลมินิใจ เล็กบาง โดยที่หน้ากล้องโชว์ดีไซน์ฝาหลังแบบซูมให้เห็นกันแบบชัดๆ
เมื่อแกะกล่องมา ด้านในตัวเครื่องห่อรักษาเอาไว้ด้วยกระดาษไข และยังมีเอกสารคู่มือใช้งานเบื้องต้นมาให้
ในกล่องมีเคสใสสำหรับสวมป้องกันเครื่องมาให้ ดีไซน์สวยดีใส่แล้วกระชับไม่ทำให้เครื่องหนาจนเกินไป ที่เราแนะนำว่านี่เป็นของดีเพราะถ้าจะหาซื้อเคสมาใส่เองตอนนี้บอกเลยว่าหายากมากๆ
ของอย่างอื่นที่มีให้มาจะมีเข็มจิ้มถาดซิมที่ดูไม่เหมือนใคร และสาย USB-C to USB-C มาให้ แต่ว่าไม่มีอะแดปเตอร์ชาร์จมาให้ ต้องหาซื้อหรือใช้อะแดปเตอร์อื่น โดยที่เครื่องรองรับชาร์จเร็วได้สูงสุดที่ 65W

การออกแบบ: ความโปร่งใสที่สวยงาม ภาพลักษณ์ที่เป็นปั๊บต้องประทับใจ
Nothing Phone (3) นำเสนอวิวัฒนาการของการออกแบบโปร่งใสอันเป็นเอกลักษณ์ของ Nothing โดยก้าวไปในทิศทางที่ “เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น” แต่ยังคงรักษา DNA ของตนเองไว้อย่างชัดเจน การออกแบบในรุ่นนี้ใช้ “โลหะและกระจกแบบเลเยอร์” ที่ให้ความรู้สึกหรูหรา พร้อมการผสมผสานระหว่างรูปทรงและฟังก์ชันการทำงานอย่างโดดเด่น
วิวัฒนาการจาก “แปลกใหม่” สู่ “ประณีต”
หากเทียบกับ Phone (1) ที่เน้นความแปลกใหม่และดึงดูดสายตา Phone (3) เลือกเดินหน้าสู่ความประณีตและการใช้งานจริงมากขึ้น แผงด้านหลังของ Phone (3) โดดเด่นด้วยการจัดเรียงแบบไม่สมมาตร พร้อมความโดดเด่นทางเรขาคณิต ผสมผสานเส้นโค้งและดิสก์ที่นุ่มนวลเข้ากับความมีระเบียบของตารางสามคอลัมน์ สร้างสมดุลระหว่างการแสดงออกที่สนุกสนานกับความงามที่เหนือกาลเวลาและมีโครงสร้าง

การจัดวางองค์ประกอบภายในที่มองเห็นได้ถูกจัดเรียงอย่างพิถีพิถันเพื่อความสวยงามทางสายตา ไม่ใช่การวางชิ้นส่วนแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แต่เป็นการออกแบบที่คำนึงถึงสมดุลและความกลมกลืนในทุกมิลลิเมตร
ระบบไฟที่มีชีวิตชีวา
ความเปลี่ยนแปลงสำคัญในรุ่นนี้คือการถอดเอาระบบไฟ Glyph อันเป็นเอกลักษณ์ใน 2 รุ่นแรกทิ้งไป และเปลี่ยนมาใช้ระบบใหม่เป็น Glyph Matrix ที่ต้องการใช้ประโยชน์ให้ได้มากกว่าเพียงแค่ลูกเล่นหรือของประดับ แต่ใช้เพื่อสื่อสารและเป็นส่วนเสริมในการใช้งานที่กว้างกว่า
ขอบจอบางเฉียบที่สร้างความแตกต่าง
หน้าจอของ Phone (3) ถูกออกแบบมาให้เป็นส่วนขยายของการออกแบบโดยรวม ด้วยขอบจอที่บางเฉียบและสมมาตรเพียง 1.87 มม. ในทุกด้าน ลดลง 18% จาก Phone (2) สิ่งนี้สร้างกรอบที่ประณีตให้กับจอ AMOLED การลดขนาดขอบจอแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการที่ละเอียดอ่อน

ส่วนของเฟรมเครื่องวัสดุเป็นอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% ให้ความสวยงามพรีเมียมในการถือจับ เป็นเฟรมแบบเรียบที่ขอบไม่ได้บาดคม รับกับตัวหน้าจอที่เป็นแบบแบนราบอย่างสวยงาม
ความทนทานที่ซ่อนอยู่ในความสวยงาม
ด้านความทนทาน Nothing Phone (3) มาในมาตรฐาน IP68 สำหรับการกันฝุ่นและน้ำ ทำให้สามารถทนทานต่อการกระเซ็นและการจุ่มน้ำได้โดยไม่ต้องกังวล หน้าจอได้รับการปกป้องด้วย Corning Gorilla Glass 7i และฝาหลังได้รับการปกป้องด้วย Corning Gorilla Glass Victus เพื่อป้องกันรอยขีดข่วนในชีวิตประจำวัน

การก้าวจาก “ทางเลือก” สู่ “มาตรฐานใหม่”
การลดขอบจอลงช่วยเพิ่มความสวยงาม เป็นการปรับปรุงที่ละเอียดอ่อนแต่ส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้โดยรวม การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นว่า Nothing กำลังพยายามดึงดูดกลุ่มผู้ใช้ที่กว้างขึ้น ซึ่งอาจมองหาสมาร์ทโฟนที่มีดีไซน์พรีเมียมและซับซ้อนมากขึ้น ไม่ใช่แค่ความแปลกใหม่เพียงอย่างเดียว
การผสานรวมฟังก์ชันเข้ากับการออกแบบ เช่น Glyph Matrix ที่สามารถเคลื่อนไหวได้ ยังเสริมสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์โดยไม่ลดทอนการใช้งาน Nothing Phone (3) จึงไม่ได้เป็นเพียงสมาร์ทโฟนที่สวยงาม แต่เป็นการแสดงออกถึงปรัชญาการออกแบบที่พัฒนาขึ้นและเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ไม่ใช่แค่วัยรุ่นอินดี้เหมือนแต่ก่อน

Glyph Interface: การปฏิสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่เหนือกว่าการมองหน้าจอ
Glyph Interface ของ Nothing Phone (3) ถือเป็นการแสดงออกที่สมบูรณ์ที่สุดของปรัชญาการออกแบบของ Nothing สร้างมาเพื่อการโต้ตอบที่อยู่บนพื้นฐานความสมดุลระหว่างรูปทรงและฟังก์ชัน เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลอัปเดตโดยไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าจอ เป้าหมายคือการช่วยให้ผู้ใช้ “ควบคุม” การใช้งานโทรศัพท์ได้มากขึ้น
จากไฟธรรมดาสู่ระบบที่ซับซ้อน
Glyph Interface ได้พัฒนาจากแถบไฟธรรมดาในรุ่นก่อนมาเป็นระบบที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย Glyph Matrix และ Glyph Button ใหม่ ที่ทำให้การใช้งานไม่ได้เป็นเพียงแค่การมองดู แต่สามารถโต้ตอบได้จริง
Glyph Matrix: จอแสดงผลที่ไม่ดึงดูดสายตา

Glyph Matrix เป็นจอแผ่นดิสก์ทรงกลมที่ประกอบด้วย LED 489 ดวง ที่สามารถเปิดใช้งานแยกกันได้ ทำหน้าที่เป็นจอแสดงผลขาวดำที่ออกแบบมาเพื่อสื่อสารโดยไม่ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้มากเกินไป สามารถแสดงข้อมูลสำคัญได้อย่างรวดเร็ว เช่น Caller ID การแจ้งเตือนตามรายชื่อติดต่อ และสัญญาณเฉพาะแอปพลิเคชัน
ผู้ใช้ยังสามารถกำหนดไอคอนแบบพิกเซลเองสำหรับรายชื่อติดต่อ ซึ่งจะปรากฏบน Glyph Matrix เมื่อมีสายเข้าหรือข้อความ นอกจากนี้ยังสร้างการผสมผสานเสียงและแสงที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับการแจ้งเตือนแต่ละรายชื่อ
Glyph Button: ปุ่มใหม่เพื่อการสั่งงาน

Glyph Button ถูกเพิ่มเข้ามาไว้ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง เพื่อใช้งานโต้ตอบกับ Glyph Matrix ผู้ใช้สามารถแตะเพื่อเลือกดูเครื่องมือและวิดเจ็ตต่างๆ หรือกดค้างไว้เพื่อเล่น การใช้งานง่ายและตอบสนองได้ทันที ทำให้การเข้าถึงฟังก์ชันต่างๆ สะดวกยิ่งขึ้น
Glyph Toys: ประสบการณ์เล็กๆ ที่มีความหมาย

Nothing ยังได้เพิ่มชุด “Glyph Toys” เป็นประสบการณ์ขนาดเล็กที่ทำให้โทรศัพท์มีชีวิตชีวาในตั้งค่า Glyph Interface โดยที่ในการเปิดตัวจะมีมาให้หลายอย่างที่น่าสนใจ เช่น
- Glyph Mirror ใช้จอหลังเพื่อแสดงภาพจากกล้อง เพื่อใช้มองเป็นการจัดองค์ประกอบเพื่อถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหลัง
- Spin the Bottle, Rock Paper Scissors มินิเกมเล็กๆ เอาไว้สำหรับเล่นกันในกลุ่มเพื่อนและงานปาร์ตี้
- Digital Clock, Battery Indicator, Stopwatch ที่เปิดใช้และสั่งได้ผ่าน Glyph Interface โดยไม่ต้องไปเปิดในเครื่อง
Nothing ระบุว่าจะมีการเพิ่ม Glyph Toys เพิ่มเติมจาก Nothing และชุมชน พร้อม SDK สำหรับนักพัฒนาที่จะเปิดกว้างให้ทุกคนสามารถสร้างสรรค์ลูกเล่นใหม่ๆ มาใช้ผ่าน Glyph Interface

ฟีเจอร์การแจ้งเตือนที่ฉลาด
Glyph Matrix เปลี่ยนการแจ้งเตือนให้กลายเป็น “โมเมนต์” โดยสร้างการผสมผสานเสียงและแสงที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับแต่ละรายชื่อติดต่อ ในระหว่างการโทร การกดปุ่ม Glyph ค้างไว้จะให้คุณตรวจสอบ Caller ID โดยไม่ต้องพลิกโทรศัพท์ (ฟีเจอร์นี้จะพร้อมใช้งานผ่านการอัปเดต OTA ในเดือนกรกฎาคม)
ฟีเจอร์เพิ่มเติมของ Glyph Interface

Glyph Interface อื่นๆ ได้แก่:
- Camera Countdown สำหรับการนับถอยหลังด้วยภาพเมื่อใช้ตัวจับเวลา
- Glyph Torch ที่ให้แสงแฟลชที่ทรงพลังและใช้เป็นไฟเติมแสงได้ดีเยี่ยม
- Volume Indicator ที่แสดงระดับเสียงด้วยภาพ
- แอนิเมชัน NFC ที่ปรากฏขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ NFC
Recording Light: สัญญาณการบันทึกที่ละเอียดอ่อน

นอกจากนี้เมื่อบันทึกวิดีโอหรือใช้เครื่องบันทึกเสียง ตำแหน่งจุดแดงที่อยู้ด้านหลัง จะสว่างเป็นไฟกระพริบสีแดงเพื่อแจ้งให้ผู้ใช้และผู้อื่นทราบถึงสถานะการบันทึก และในการบันทึกเสียง ในจอ Glyph Matrix จะแสดงกราฟคลื่นเสียงให้เห็นเวลาที่ทำการบันทึกอีกด้วย
จากของเล่นสู่เครื่องมือใหม่ที่ไม่เหมือนใคร
ใน Phone (1) และ (2) Glyph Interface อาจถูกมองว่าเป็นเพียงลูกเล่นที่สวยงามและแปลกใหม่ แต่ใน Phone (3) Nothing ได้ยกระดับมันขึ้นมาเป็น “การแสดงออกที่สมบูรณ์ที่สุดของปรัชญาการออกแบบ” และเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดความวุ่นวายในการใช้งานเพื่อสื่อสาร
การเพิ่ม Glyph Matrix ที่ละเอียดขึ้น (489 LEDs) และ Glyph Button ที่โต้ตอบได้ พร้อม Glyph Toys และฟีเจอร์การแจ้งเตือนที่ละเอียดอ่อน เช่น Caller ID โดยไม่ต้องพลิกจอ แสดงให้เห็นว่า Nothing กำลังพยายามเปลี่ยน Glyph จากแค่ “ไฟสวยๆ” ให้เป็น “ส่วนหนึ่งของประสบการณ์ผู้ใช้ที่ตั้งใจ” เพื่อลดการติดหน้าจอและส่งเสริมการใช้งานที่มีสติมากขึ้น

Nothing OS 3.5: ประสบการณ์ Android ที่ปรับแต่งและขับเคลื่อนด้วย AI
Nothing OS 3.5 ที่ครอบทับบน Android 15 ได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและปรับแต่งได้อย่างมีความหมาย เพื่อสร้างประสบการณ์สมาร์ทโฟนที่ตั้งใจและดูโดดเด่น Nothing OS ผสมผสานสิ่งที่ดีที่สุดของ Android เข้ากับคุณสมบัติที่กำหนดเอง การปรับแต่งขั้นสูง และสุนทรียภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของ Nothing
ภาพลักษณ์ที่โดดเด่นของ Nothing OS คือความคลีนใส ไม่มี Bloatware หรือโฆษณาอะไรยัดไส้เอาไว้ในระบบ ประสบการณ์นั้นคลีนใสใกล้เคียงกับการใช้ Pure Android ซึ่งแทบจะหาไม่ได้แล้วในสมาร์ตโฟนยุคปัจจุบัน

เต็มเปี่ยมด้วย Nothing DNA ที่แท้จริง
หัวใจของ Nothing OS คือ Dot Engine เป็นระบบที่ขับเคลื่อนแอนิเมชัน ไอคอน และฟอนต์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะทำให้ Phone (3) มีสไตล์ที่โดดเด่น ทุกอย่างได้รับการปรับแต่งเพื่อความลื่นไหล การออกแบบแอนิเมชันได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อัลกอริทึมการเรียนรู้พฤติกรรมช่วยให้แอปโหลดเร็วขึ้น และการทำงานหลายอย่างพร้อมกันรู้สึกราบรื่น
การผสานรวม AI ที่ลึกซึ้ง
การผสานรวม AI เข้ากับ Nothing OS 3.5 เป็นไปอย่างลึกซึ้ง โดย AI Engine ของ Snapdragon 8s Gen 4 มีบทบาทสำคัญในการมอบประสิทธิภาพ AI ที่เร็วขึ้น 60% เมื่อเทียบกับ Phone (2) ซึ่งสนับสนุนประสบการณ์ที่ฉลาดขึ้นและตอบสนองได้ดีขึ้นทั่วทั้งระบบปฏิบัติการ
นอกจากนี้ Qualcomm Hexagon NPU ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ AI Engine ยังให้ประสิทธิภาพการประมวลผล AI เพิ่มขึ้น 125% เมื่อเทียบกับ Phone (2) การเพิ่มประสิทธิภาพ AI นี้ขับเคลื่อนฟีเจอร์ AI บนอุปกรณ์ทั่วทั้ง Nothing OS, กล้อง และ Essential Space เพิ่มทั้งความเร็วและประสิทธิภาพ
Essential Space: หน่วยความจำที่ฉลาด เป็นระบบระเบียบ
Essential Space เป็นฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบมาให้เป็น “หน่วยความจำที่สอง” ทำงานร่วมกับ Essential Key ซึ่งเป็นปุ่มกายภาพทางด้านขวาของ Phone (3) เพื่อเก็บบันทึกทุกอย่างได้ในทันที

การกด Essential Key หนึ่งครั้งจะช่วยให้สามารถจับภาพหน้าจอหรือส่งรูปภาพจากแอปกล้องตรงไปยัง Essential Space การกดค้างจะบันทึกเสียงพร้อมการถอดเสียงเป็นข้อความบนอุปกรณ์ และการกดสองครั้งจะเข้าสู่ Essential Space ได้อย่างรวดเร็ว
AI ที่ช่วยจัดระเบียบ
AI จะเข้ามาทำหน้าที่ใน Essential Space ช่วยจัดระเบียบและจัดหมวดหมู่เนื้อหาโดยอัตโนมัติ สามารถถอดเสียง อธิบายภาพ และแนะนำสรุปหรือประเด็นการดำเนินการได้ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัยบนอุปกรณ์ และหากมีการประมวลผลบนคลาวด์ ข้อมูลจะถูกเข้ารหัสและลบโดยอัตโนมัติเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ

อย่างภาพหลังจากที่บันทึกด้วย Essential Key แล้ว ภาพจะถูกเก็บเข้ามาอยู่ใน Essential Space แล้ว AI จะทำการสรุปข้อมูลที่อยู่ในภาพนั้นออกมาให้เรา แต่ตอนนี้จะสรุปออกมายังไม่รองรับภาษาไทย
Flip to Record: ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ

ด้วยการเปิดตัว Phone (3) ฟีเจอร์ใหม่ “Flip to Record” ได้ถูกนำเสนอ ซึ่งช่วยขยายวิธีที่ Essential Key ช่วยลดอุปสรรคในการทำงานในชีวิตประจำวัน ผู้ใช้สามารถกด Essential Key ค้างไว้ พลิกโทรศัพท์ และสถานะการบันทึกจะอัปเดตบน Glyph Matrix เพื่อบันทึกและถอดเสียงการประชุม จดจำผู้พูด สรุปการบันทึก และรวบรวมประเด็นการดำเนินการ
และระหว่างที่กำลังบันทึก หากเราต้องการมาร์กเนื้อหาในช่วงที่กำลังบันทึกเสียงเพื่อเน้นความสำคัญ ก็แค่กด Essential Key เมื่อเข้าไปทำการประมวลผล AI ในจุดที่เรามาร์กก็จะมีรายละเอียดในการวิเคราะห์ที่สำคัญมากขึ้น
Essential Search: การค้นหาอัจฉริยะ
Essential Search เป็นแถบค้นหาอัจฉริยะสากลแบบใหม่ที่เข้าถึงได้ด้วยการปัดจากด้านล่างของหน้าจอ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาผู้ติดต่อ ภาพถ่าย และไฟล์บน Nothing Phone ได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และยังให้คำตอบได้ทันทีสำหรับข้อมูลต่างๆ เช่น สภาพอากาศ การแปลงสกุลเงิน กิจกรรมในปฏิทิน และการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรวดเร็ว
พร้อมกันนี้ Nothing ยังยืนยันที่จะให้การอัปเดต OS หลัก 5 ปี และแพตช์ความปลอดภัย 7 ปี สำหรับ Phone (3) ทำให้การใช้งานต่อเนื่องในอนาคต ผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ พร้อมการใช้งานที่ลื่นไหลและปลอดภัย
สำหรับ Android 16 และ Nothing OS 4.0 มีกำหนดจะพร้อมใช้งานในไตรมาสที่ 3 ปี 2025 นี้

กล้องระดับแฟล็กชิป 50MP ทุกตัว พร้อมรองรับสายคอนเทนต์
Nothing Phone (3) มาพร้อมระบบกล้องที่ออกแบบมาสำหรับคอนเทนต์ครีเอเตอร์โดยเฉพาะ ด้วยการถ่ายวิดีโอได้ถึงระดับ 4K, 60fps เต็มรูปแบบที่ออกแบบมาเพื่อจับภาพทุกช่วงเวลาด้วยรายละเอียดที่ประณีต ไม่ว่าจะเป็นระยะใกล้หรือไกล กลางวันหรือกลางคืน ระบบกล้องนี้มีการปรับปรุงการปรับแต่ง, การซูมแบบ Periscope, และการรับแสงที่เหนือกว่า Phone (2) อย่างเห็นได้ชัด
กล้องหลัก 50MP OIS: เก่งกาจทุกสภาพแสง
กล้องหลัก 50MP OIS มาพร้อมเซ็นเซอร์กล้องหลักขนาดใหญ่ 1/1.3″ ซึ่งรับแสงได้มากกว่า Phone (2) ถึง 44% ทำให้เหมาะสำหรับการถ่ายภาพในเวลากลางคืน นอกจากนี้ยังรองรับการถ่ายภาพแบบ lossless ที่ระยะ 35 มม. (1.5x) และ 48 มม. (2x) เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดและวิดีโอ 4K ที่ราบรื่นและคมกริบ
ที่น่าสนใจคือเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่นี้ไม่ได้เพียงแค่รับแสงได้มากขึ้น แต่ยังช่วยในการสร้าง bokeh ธรรมชาติและการแยกระหว่างวัตถุกับพื้นหลังได้ดีขึ้น ทำให้ภาพถ่ายมีมิติและความลึกมากกว่าเดิมอีกด้วย
กล้อง Periscope 50MP OIS: ซูมไกลไม่สั่น
ด้วยเลนส์ Periscope ที่ระยะ 70 มม. ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนมุมมองได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้ภาพสไตล์ภาพยนตร์ที่มีฉากหลังเบลอสวยงามและรายละเอียดที่ครบถ้วน เหมาะสำหรับภาพบุคคลและภาพผลิตภัณฑ์ สำหรับวัตถุที่อยู่ไกล กล้องนี้มี 6x lossless zoom และ 60x AI Super Res Zoom สำหรับการเข้าถึงรายละเอียดที่ไกลที่สุด เหมาะสำหรับคอนเสิร์ต สัตว์ป่า และฉากที่อยู่ห่างไกล
นอกจากนี้ยังรองรับ Periscope macro focus ด้วยเลนส์เจ็ดชิ้น เพื่อความหลากหลายในการถ่ายภาพระยะใกล้ การที่สามารถเปลี่ยนจากภาพทิวทัศน์กว้างไปสู่รายละเอียดระยะใกล้ได้ในเลนส์เดียว ถือเป็นความสามารถที่น่าทึ่งสำหรับนักถ่ายภาพ

กล้อง Ultra-wide 50MP: มุมมองกว้างแบบไดนามิก
สำหรับทิวทัศน์กว้าง กล้อง Ultra-wide มอบมุมมองแบบไดนามิก 114° และวิดีโอที่นิ่งเป็นพิเศษ พร้อมมุมมองแบบแอคชั่นแคมเมื่อต้องการเก็บภาพทุกสิ่งในเฟรม ความสามารถในการจับภาพมุมกว้างนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเล่าเรื่องผ่านภาพได้หลากหลายมากขึ้น

กล้องหน้า 50MP: เซลฟี่ระดับมือโปร
กล้องหน้าก็จัดเต็มเช่นกัน เหมาะสำหรับการเซลฟี่คุณภาพสูงและวิดีโอ Vlogging ที่คมชัด พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวที่ยอดเยี่ยม ทำให้การถ่ายภาพตัวเองและการสร้างเนื้อหามีคุณภาพระดับมืออาชีพ
TrueLens Engine 4: ปัญญาประดิษฐ์สำหรับภาพถ่าย
ระบบกล้องทั้งหมดขับเคลื่อนด้วย TrueLens Engine 4 ซึ่งปลดล็อกรายละเอียดเงาที่สมบูรณ์ขึ้น ไฮไลท์ที่ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น และการปรับแต่งกล้องที่โดดเด่น TrueLens Engine 4 ผสมผสานความสามารถ AI ที่ทรงพลังเข้ากับความรู้สึกในการถ่ายภาพแบบคลาสสิก เพื่อเปลี่ยนฉากในชีวิตประจำวันให้เป็นภาพมาสเตอร์พีซที่สมดุลอย่างสวยงามด้วยการถ่ายแบบ Point-and-Shoot
ด้วยพลังของ Snapdragon 8s Gen 4 ผสานกับ TrueLens Engine 4 สามารถประมวลผลภาพได้เร็วขึ้น 125% เมื่อเทียบกับ Phone (2) ซึ่งช่วยให้สามารถแบ่งส่วนฉากแบบเรียลไทม์ ลด noise การเคลื่อนไหวที่ราบรื่นขึ้น และการจับภาพ HDR ที่สว่างและคมชัดขึ้น
ระบบวิดีโอ 4K Ultra XDR ครั้งแรกของ Nothing
Phone (3) ยังรองรับการถ่าย 4K Ultra XDR Video System เป็นครั้งแรกสำหรับ Nothing Phones กล้อง 50MP ทั้งสี่ตัวสามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 4K 60fps Ultra XDR video บันทึกแต่ละเฟรมด้วยการเปิดรับแสงคู่ (dual exposure) เพื่อปรับสมดุลเงาและไฮไลท์ ทำให้ได้ฟุตเทจที่สดใสและสมจริง

ทดสอบลองใช้งาน รีวิว กล้อง Nothing Phone (3)
หน้าตาเมนูการใช้กล้อง ออกแบบมาให้ใช้งานได้ค่อนข้างง่าย และปรับแต่งเลือกสร้าง Preset เพื่อเลือกใช้งานด่วนได้ เป็นฟีเจอร์ที่สะดวกมาก คุณสามารถสร้าง Setting กล้องที่ใช้ประจำ โดยเลือกโทนสี, ระยะเลนส์, ปรับค่า และฟิลเตอร์ สร้างเป็นชุดคำสั่งด่วน ให้คุณเปิดกล้องมาสลับเลื่อนได้รวดเร็ว หรือจะทำเป็น Widget แปะไว้ที่หน้าโฮมก็ได้

ในการถ่ายภาพผมว่ากล้องของรุ่นนี้ให้อารมณ์กล้องแนวสตรีทที่ดูเท่ๆ ทั้งโทนสีและระยะโฟกัส โดยที่จะถ่ายพอร์ตเทรตบุคคลก็น่าประทับใจ กับการเบลอหลังรวมไปถึงการสร้างโบเก้ ที่เลือกได้หลายแบบ สกินโทนปรับบิวตี้อาจจะไม่ได้ละเอียดมากแต่ก็ให้ผิวที่ดูดีเป็นธรรมชาติ
กล้องซูมที่สามารถถ่ายภาพซูมไกลสุด 60x และถ่ายวิดีโอได้ที่ 18x ช่วยให้ความยืดหยุ่นในการถ่ายครบทุกระยะ ส่วนการถ่ายมาโครที่ใช้เลนส์เทเล ก็ทำให้เก็บรายละเอียดใกล้และชัดมากๆ
กล้องหน้าเซลฟี่ ความละเอียดมาสูงถึง 50MP ก็ทำออกมาได้ดี ระยะและความละเอียดของภาพที่ได้ออกมาได้น่าพึงพอใจ

การถ่ายวิดีโอจุดเด่นคือถ่าย 4K 60fps ได้ทุกเลนส์ แต่กว่าก็จะมีข้อจำกัดอยู่บ้างคือ ไม่สามารถเลือกซูมระหว่างที่ถ่ายได้ทุกระยะเลนส์ โดยจะมีข้อจำกัดที่ 3 ระยะตามเลนส์ที่เลือกตอนเลื่อนถ่ายคือ
- Ultra-wide ได้ 0.6x-3x
- เลนส์หลัก ได้ 1x-6x
- Telephoto ได้ 3x-18x
พร้อมกันนี้การถ่ายวิดีโอยังเลือกถ่ายแบบ HDR ที่ให้สีสันที่สดใสคมชัดมากขึ้นได้อีกด้วย
โดยรวมแล้วกล้องสามารถใช้งานได้หลากหลาย แต่ว่าอาจจะไม่ได้มีลูกเล่นแฟนซีอภินิหารหรือเอา AI เข้ามาช่วยมากนัก ฟีลที่ได้จึงพอๆ กับการใช้กล้องดิจิทัลคอมแพคถ่าย และตัวไฟล์ที่ได้ยังให้ความรู้สึกว่าไม่ได้ผ่านการ Process มากจนเกินไป ซึ่งเชื่อว่าหลายคนก็อาจจะชอบสไตล์แบบนี้
ตัวอย่าง รีวิว ภาพถ่ายจากกล้องของ Nothing Phone (3)




โหมด Portrait ส่วนตัวผมนั้นค่อนข้างชอบที่ระยะเลนส์มีให้เลือกได้ตั้งแต่ 1x, 2x, 3x และ 4x แต่ที่ชอบสุดคือ 3x (70mm) ที่ให้ระยะเบลอและดึงฉากหลังมาดูสวยที่สุด และตัวโบเก้นั้นก็ยังเลือกรูปแบบได้หลายทรง เปลี่ยนบรรยากาศภาพได้หลายแบบ




ถ่ายพอร์ตเทรตระยะโคลสอัพ การปรับบิวตี้ของกล้องนั้นเลือกได้แค่ 2 ระดับคือ Natural กับ Strong เมื่อใช้แล้วผมก็ชอบแบบ Natural มากกว่า ภาพที่ได้ผิวจะสวยเนียนแบบธรรมชาติ ส่วนโครงหน้าก็ไม่มีการปรับให้ผิดเพี้ยน อารมณ์เหมือนเลือกใช้ในกล้องแบบโปรเลย



รวมถึงการถ่ายด้วยระยะเลนส์เทเล ยังเก็บ Depth ของภาพได้มีมิติที่เบลอได้ทั้งฉากด้านหน้าและฉากด้านหลัง ภาพจึงมีมิติที่สวยงามได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย

การถ่ายในมุมกว้าง ด้วยตัวเลนส์ Ultra-wide ก็มาในความละเอียด 50MP เท่ากับเลนส์อื่น ทำให้ได้ภาพที่คมชัดด้วยเช่นกัน เหมาะทั้งสำหรับถ่ายทิวทัศน์ หรือจะถ่ายบุคคลในมุมที่แปลกตาก็ยังได้



โหมดถ่ายภาพด้วย Preset ของดีที่ไม่เหมือนใคร ในเครื่องจะมีมาให้หลายตัวให้ใช้งาน มีตัวอย่างมาให้ชมกันกับพอร์ตเทรตแบบ Soft Focus ให้อารมณ์นุ่มละมุนเหมือนใส่ฟิลเตอร์ Black mist




B&W Film โทนสีฟิล์มขาวดำ ให้อารมณ์แบบกล้องย้อนยุคที่ดูสวยไปอีกแบบ




ยังมีอีกหลากหลายโทน หลายแบบ ให้เลือกถ่ายได้สนุก แถมคุณจะสร้าง Preset ของตัวเองก็ยังได้ จะปรับตั้งเองแบบ manual หรือไปหาโหลด LUT มาใช้ก็ได้



กล้องมีโหมด Action เอาไว้สำหรับการถ่ายภาพเคลื่อนไหวให้หยุดนิ่ง เหมาะสำหรับใช้ในสภาพแสงกลางวันหรือมีแสงเพียงพอ เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัด ผมลองถ่ายกับการข้ามถนน ตัวโฟกัสมีความแม่นยำ และจังหวะเคลื่อนไหวต่างๆ ก็หยุดนิ่งได้สวยงาม



กล้องหน้าเซลฟี่ ก็ได้ความคมชัด 50MP เช่นกัน เลือกเปิดปรับจูน Retouching แล้วก็ถ่ายได้สวยพร้อมปรับโบเก้หลังได้ด้วยเช่นกัน



ถ่าย Macro เป็นการใช้เลนส์เทเลโฟโต้ สามารถถ่ายได้ในระยะ 3x และ 6x เก็บรายละเอียดของภาพระยะใกล้ได้ในระดับที่คมชัด

โหมดถ่ายภาพกลางคืน จัดการเรื่องของความคมชัด ลดการฟุ้งของแสง ทำให้เห็นดวงไฟต่างๆ ที่คมชัด และสีที่มีคอนทราสต์สูงได้ทั้งหมด แต่ในส่วนของเงามืดก็ยังคงมืดอยู่

ประสิทธิภาพ: พลังที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงในทุกสถานการณ์
Nothing Phone (3) สร้างนิยามของประสิทธิภาพระดับเรือธง โดยนำเสนอความลื่นไหล ความเสถียร และความเร็วที่ง่ายดาย เหมาะสำหรับการใช้งานในโลกแห่งความเป็นจริง ได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขวิดีโอ 4K การเล่นเกมด้วยภาพกราฟิกคุณภาพคอนโซล การสลับแอปและเครื่องมือ AI หรือเพียงแค่การใช้งานในชีวิตประจำวัน
Snapdragon 8s Gen 4: พลังและประสิทธิภาพ
สำหรับ Snapdragon 8s Gen 4 สร้างขึ้นบนกระบวนการผลิต 4nm ขั้นสูงของ TSMC ให้พลังงานที่ตั้งใจและปรับแต่งมาอย่างละเอียดเพื่อความสมดุล มี CPU แบบ 8 คอร์ ความเร็วสูงสุด 3.21GHz และ Qualcomm Adreno 825 GPU สำหรับประสิทธิภาพกราฟิกที่ยอดเยี่ยม
Phone (3) ยังรวม Qualcomm Hexagon NPU ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ AI Engine ที่ให้ประสิทธิภาพการประมวลผล AI เพิ่มขึ้น 125% เมื่อเทียบกับ Phone (2) การเพิ่มประสิทธิภาพนี้ขับเคลื่อนคุณสมบัติ AI บนอุปกรณ์ทั่วทั้ง Nothing OS, กล้อง และ Essential Space เพิ่มทั้งความเร็วและประสิทธิภาพ
ถ้าให้เทียบประสิทธิภาพกับ Phone (2) ทางด้านของ Phone (3) ทำได้ดีขึ้น 36% ในประสิทธิภาพ CPU, การปรับปรุง 88% ในประสิทธิภาพกราฟิก และการประมวลผล AI ที่เร็วขึ้น 60%
ในส่วนของหน่วยความจำ ใช้เป็น RAM LPDDR5X ที่รวดเร็ว มีให้เลือก 2 ขนาดคือ 12GB และ 16GB ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูล UFS 4.0 มีให้เลือก 256GB และ 512GB ทำให้การทำงานหลายอย่างพร้อมกันเป็นไปอย่างราบรื่นและตอบสนองได้ดี และมีพื้นที่เพียงพอสำหรับแอป เกม และวิดีโอ 4K
การเลือกใช้ Snapdragon 8s Gen 4 ที่อาจจะไม่ได้เป็นรุ่นท็อปสุดของปีนี้ แต่ก็ยังถือว่าเป็นชิปเซ็ตระดับไฮเอนด์ ที่ให้ประสิทธิภาพในการทำงานในขั้นสูงได้อย่างน่าประทับใจ ทั้งการใช้งานประจำวันในแอปต่างๆ ไปจนถึงแอปทำงานหนักๆ อย่างการตัดต่อ, ออกแบบ รวมไปถึงการเล่นเกม ก็ยังให้ประสบการณ์ที่ประมวลผลได้รวดเร็ว ราบรื่น

ในการเล่นเกมอย่าง ROV ก็เล่นได้ที่ 60fps แบบลื่นๆ ไม่มีสะดุด หรือเกมที่ต้องใช้กราฟิกสูงๆ ก็ทำการดาวน์โหลดได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน เมื่อเล่นบนจอที่สวยคมชัดก็ยิ่งให้อรรถรสที่ดียิ่งขึ้น

การใช้งานจริงที่ให้ประสบการณ์แบบเรือธง
Nothing Phone (3) ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานหนักในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประมวลผล AI ที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในสมาร์ทโฟน การมี RAM และ Storage ที่เพียงพอ ยังช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าโทรศัพท์จะสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและเก็บข้อมูลได้นานหลายปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ยาวนานของ Nothing
การทดสอบลองใช้งานกับแอปต่างๆ ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ตอบสนองและประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว อย่าง Canva สำหรับงานออกแบบที่มีหลายชั้นเลเยอร์ ก็ทำงานได้รวดเร็ว สะดวกให้เราทำงานได้จากทุกที่ทุกเวลา

หน้าจอ: ประสบการณ์การรับชมที่คมชัดและสมจริง
Nothing Phone (3) มาพร้อมจอแสดงผลระดับเรือธงที่โดดเด่น จอแสดงผล AMOLED แบบไดนามิคขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1260 x 2800 พิกเซล และความหนาแน่นของพิกเซล 460 ppi ห้ภาพคมชัดและมีรายละเอียดสูง
Phone (3) สามารถทำความสว่างสูงสุดได้ถึง 4500 nits เมื่อเล่นเนื้อหา HDR, ความสว่างกลางแจ้งเต็มหน้าจอ 1600 nits และความสว่างทั่วไปสูงสุด 800 nits ซึ่งหมายความว่าสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่บนหน้าจอได้อย่างง่ายดายแม้ในวันที่แดดจัด และด้วยเทคโนโลยี AMOLED ที่มีสีดำสนิทและสดใส ทำให้ภาพมีคอนทราสต์สูงและเนื้อหาโดดเด่น
จอแสดงผลยังรองรับ HDR10+ ด้วยความลึกสี 10-bit (1.07 พันล้านสี) และอัตราส่วนคอนทราสต์ 1,000,000:1 สำหรับการเล่นภาพยนตร์ที่สมจริงและมีบรรยากาศ

ทุกอย่างให้ความรู้สึกลื่นไหลสบายตาด้วยอัตรารีเฟรชแบบปรับได้ 120Hz ที่ปรับให้เข้ากับสิ่งที่อยู่บนหน้าจอได้อย่างราบรื่น และด้วยอัตราการตอบสนองการสัมผัส 1000Hz ทุกการแตะและปัดจะถูกลงทะเบียนในทันที เหมาะสำหรับการเล่นเกมที่รวดเร็วและการใช้งานในชีวิตประจำวัน
เพื่อปกป้องดวงตาจากความเมื่อยล้า Phone (3) รองรับการหรี่แสง PWM 960Hz และภายใน Nothing OS มีการตั้งค่าการแสดงผลที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งภาพตามความต้องการได้

แบตเตอรี่และการชาร์จ: ใช้งานได้ยาวนาน ชาร์จได้รวดเร็วที่น่าใจ
Nothing Phone (3) มาพร้อมระบบแบตเตอรี่ที่ทันสมัยที่สุดและมีความจุสูงสุดของ Nothing ด้วยแบตเตอรี่ Silicon-Carbon ขนาด 5150mAh เพิ่มขึ้นจาก 4700mAh ใน Phone (2) ทำให้การใช้งานตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าถึงเย็นหรือค่ำ ก็ยังมีแบตเตอรี่เหลือกลับมาถึงบ้านทุกวัน
ด้วยการแทนที่ขั้วบวกกราไฟต์แบบเดิมด้วยสารประกอบ Silicon-Carbon ทำให้ Phone (3) สามารถเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานได้ 10% เมื่อเทียบกับ Phone (2) นอกจากนี้ยังคายประจุได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยดึงพลังงานลงไปถึง 3.2V (เทียบกับ 3.4V ในแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วไป) ซึ่งช่วยเพิ่มระยะเวลาการใช้งานต่อการชาร์จ

สำหรับการชาร์จ Nothing Phone (3) รองรับการชาร์จแบบมีสาย 65W ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 45W ใน Phone (2) นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จไร้สาย 15W และการชาร์จไร้สายย้อนกลับ 5W สำหรับอุปกรณ์เสริมและอุปกรณ์อื่นๆ
จากการทดสอบระยะเวลาการชาร์จแบตเตอรี่ของ Phone (3) สามารถชาร์จจาก 1% ถึง 50% ได้ใน 19 นาที และจาก 1% ถึง 100% ภายใน 54 นาที ถือว่าเป็นความเร็วที่น่าพึงพอใจ ไม่ต้องรอนานก็พร้อมเติมแบตเตอรี่ให้เต็มได้

ความยั่งยืน: เทคโนโลยีที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
Phone (3) สร้างขึ้นบนความมุ่งมั่นของ Nothing ในด้านความยั่งยืน โดยผสานรวมวัสดุที่รับผิดชอบ การออกแบบที่ชาญฉลาด และพลังงานที่สะอาดตลอดกระบวนการผลิตทั้งหมด
ด้วย Carbon Footprint ในการผลิตรวม 53.2 กก. Phone (3) ยังคงลดการปล่อยก๊าซเมื่อเทียบกับ Phone (2) ในขณะที่ยังคงมอบประสบการณ์ระดับเรือธงที่ไม่ลดทอนคุณภาพ พลัง หรือสไตล์
คุณสมบัติหลักด้านความยั่งยืนของ Nothing Phone (3): ใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% สำหรับโครงกลาง ปุ่ม และถาด SIM / ใช้ดีบุกรีไซเคิล 100% บนแผงวงจร 9 แผ่น / ใช้ฟอยล์ทองแดงรีไซเคิล 100% บนแผงวงจรหลัก / ใช้เหล็กรีไซเคิล 80% ในชิ้นส่วนเหล็ก 27 ชิ้น / ใช้พลาสติกรีไซเคิล 30% ในชิ้นส่วนพลาสติก 17 ชิ้น
นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ของ Phone (3) ยังปราศจากพลาสติก 100% และทำจากเส้นใยรีไซเคิล 30% การลดคาร์บอนฟุตพรินท์ยังเป็นผลมาจากการใช้พลังงานหมุนเวียนในระหว่างการผลิต

ความทนทาน: สร้างมาเพื่อความคงทนและใช้งานได้ยาวนาน
Nothing Phone (3) ได้รับการออกแบบมาเพื่อความทนทาน โดยได้รับการจัดอันดับ IP68 สำหรับการกันฝุ่นและน้ำ หน้าจอได้รับการปกป้องด้วย Corning Gorilla Glass 7i และฝาหลังได้รับการปกป้องด้วย Corning Gorilla Glass Victus
เพื่อรับประกันความแข็งแกร่ง Nothing Phone (3) ได้ผ่านการทดสอบคุณภาพอย่างเข้มงวดถึง 68 โปรโตคอล และการทดสอบมากกว่า 95,000 ครั้ง การทดสอบเหล่านี้รวมถึงการทดสอบการจุ่มของเหลว, การเสื่อมสภาพในบรรยากาศ, อุณหภูมิสุดขีด, ความทนทานของพอร์ต USB, การกดปุ่ม, รอยขีดข่วนจากการเสียดสี, การตกจากทิศทางต่างๆ, การกระแทกด้วยลูกเหล็ก, การตกต่ำซ้ำๆ และการทดสอบความแข็งแรงในการดัด

สรุป รีวิว Nothing Phone (3) ความอินดี้ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
Nothing Phone (3) เป็นสมาร์ตโฟนที่โดดเด่นและเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ของ Nothing ในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่แตกต่างและมีความหมายอย่างแท้จริง ที่ชัดเจนแล้วว่าไม่ได้เน้นความแหวกแปลกของการออกแบบเพียงอย่างเดียว แต่ตั้งตัวให้เป็นรุ่นเรือธงที่ครบเครื่องในทุกด้าน ประสิทธิภาพ กล้อง และประสบการณ์ที่โดดเด่นชัดเจน
คุยกันเรื่องของดีไซน์ ตั้งแต่ตอนที่มีภาพหลุดและเปิดตัวครั้งแรกในต่างประเทศ หลายคนบ่นกันเลยกับกล้องตัวที่อยู่มุมบนสุด ที่มันดูเหมือนจะอยู่ในตำแหน่งที่เบี้ยวไม่เรียงเป็นระเบียบเหมือนกับเลนส์อื่น โดยเฉพาะถ้าใครเป็น OCD (ย้ำคิดย้ำทำ) อาจจะรู้สึกขัดใจมากๆ
ส่วนตัวผมแล้ว การวางในลักษณะนี้ก็แอบขัดตาอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วฝาหลังครั้งนี้ทำออกมาได้ถูกใจมาก ด้วยดีไซน์ที่ Nothing บอกว่าเป็นแบบไม่สมมาตร วางเรียงกระจายและมีหลากหลายรูปทรง แต่เมื่อออกมาโดยรวมคือสวยงามและดูเป็นเอกลักษณ์ และแน่นอนไม่มีใครอยากจะใส่เคสเพื่อปกปิดความเท่นี้ไป
ต่อมากับการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่มีแผงไฟ Glyph มาเป็น Glyph Interface ตอนแรกก็แอบเสียดายเหมือนกัน เพราะมันเท่มาก แต่พอเปลี่ยนมาแบบนี้คือการเพิ่มอรรถประโยชน์ในการใช้งานที่มีแนวคิดที่น่าสนใจ จอ Glyph Matrix ที่ดูเหมือนทำอะไรไม่ได้มาก แต่ก็ยังออกแบบให้มี Glyph Toys ไว้ใช้ได้หลากหลาย ส่วนตัวผมชอบที่เอาไว้เป็นเหมือนกระจกส่องเวลาเซลฟี่ด้วยกล้องหลัง คือมันอาจจะไม่ได้ชัดแต่ก็เห็นองค์ประกอบของภาพได้ และมันดูเท่ด้วยล่ะ เลยรู้สึกว่าเจ๋งดีนะ
อ่อ มีอย่างนึงที่แอบรู้สึกไม่ชอบคือตัวปุ่ม Glyph Button ที่รู้สึกว่ากดยาก ต้องใช้น้ำหนักกดมาก แล้วบางครั้งก็กลายเป็นนิ้วอีกด้านที่อยู่ตรงหน้าจอไปกดเมนูหรืออะไรก็ไม่รู้ที่เราไม่เห็น ถ้าปรับการกดให้ใช้น้ำหนักน้อยกว่านี้ก็น่าจะใช้งานง่ายขึ้น
ระบบปฏิบัติการ Nothing OS ยังคงความสวยงามตามสไตล์บนพื้นฐานความโล่งเนียน ไม่มีแอปขยะใดๆ ติดมาพร้อมเครื่อง และการตอบสนองใช้งานที่ลื่นไหล ยกให้เป็น OS ของ Android อันดับต้นๆ ที่น่าใช้และชอบมากที่สุดในตอนนี้
ฟีเจอร์ Essential Space เป็นไอเดียการเอา AI มาสร้างประสบการณ์ใช้ในการบันทึกสิ่งต่างๆ ในแต่ละวันได้เป็นระเบียบ ง่าย รวดเร็ว จากที่ได้ลอง Flip to Record บันทึกเสียงการประชุม ทำได้ง่ายและสะดวกดีมาก อัดเสียงแล้วทำการสรุปเนื้อหาให้เรียบร้อย แต่จากที่ลองมีข้อจำกัดคือสามารถใช้ฟีเจอร์สรุปได้จำกัดที่ 300 นาที/เดือน ถ้าใครใช้เยอะก็อาจจะไม่พอ
จุดสังเกตเรื่องของ AI ใน Nothing OS ส่วนตัวมองว่ายังขาดความหลักหลายและอีกหลายฟีเจอร์ที่ควรมีแต่ไม่มี อย่างเช่น การแต่งภาพด้วย AI อย่างการลบคน, เพิ่มความละเอียด หรือฟีเจอร์การเขียนและปรับแต่งข้อความ คือฟีเจอร์เหล่านี้ในแบรนด์อื่นคือมีให้ใช้หมดแล้ว ก็คาดหวังว่าในอนาคตจะมีการอัพเดตเพิ่มให้ได้ใช้งาน

ระบบกล้องที่เป็น 50MP ทุกกล้อง ถ่ายวิดีโอ 4K 60fps ได้หมด ถือว่าน่าสนใจและทำได้ในระดับที่น่าประทับใจ ถ่ายออกมาได้สวยดีทั้งภาพถ่ายและวิดีโอ การซูมนั้นผมให้ในระยะหวังผลที่ 10x ในแสงปกติ และ 6x ในที่แสงน้อย หากเกินกว่านี้จะเริ่มมีรายละเอียดลดลง
จากที่ลองใช้งานในการถ่ายภาพ อยู่ในระดับที่น่าพึ่งพอใจ ในแง่ของอารมณ์ภาพที่ปรับ Preset ได้ยืดหยุ่น แถมยังโหลด LUT มาใส่เป็นฟิลเตอร์เองก็ยังได้ ฟิลที่ใช้จึงมีความเป็นกล้องพกพาสายสตรีทที่เก็บภาพแบบคุมโทนได้ง่าย และภาพก็มีความสมจริงแบบเลนส์จริงในระยะ 15-70mm ถือว่าเป็นช่วงที่ค่อนข้างกว้างมากเลยทีเดียว
ชิปเซ็ตที่ใช้เป็น Snapdragon 8s Gen 4 พร้อมแรมเป็น LPDDR5X ส่วนหน่วยความจำเป็น UFS4.0 แม้ว่าตัวชิปจะไม่ใช่ตัวท็อปของปีนี้ แต่ศักดิ์ศรีก็ยังอยู่ในระดับไฮเอนด์ ที่ใช้งานแล้วก็ยังให้ความรวดเร็วในการทำงานทุกอย่าง
แบตเตอรี่ที่เป็นครั้งแรกของ Nothing ที่เปลี่ยนมาใช้แบบ Silicon-Carbon แต่ก็แอบเสียดายว่าคู่แข่งที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน กับตัวเครื่องไซส์นี้จะให้มาอย่างน้อยก็ 6000mAh แต่ Phone (3) ให้มาน้อยกว่าอยู่ที่ 5150mAh แต่ดีขึ้นตรงที่ใส่ระบบชาร์จเร็ว 65W มาให้ช่วยให้ชาร์จได้เร็วทันใจ (แต่ในกล่องไม่มีแถมมาให้นะ)
ถ้าจะแนะนำว่า Nothing Phone (3) เหมาะสำหรับใคร เราเชื่อว่านี่เป็นสมาร์ตโฟนที่น่าจะถูกใจสำหรับคนที่ชอบอะไรที่เรียบง่าย ไม่ฉูดฉาด แต่ยังต้องการประสิทธิภาพใช้งานระดับสูงอยู่ เพราะรุ่นนี้เรื่องความแรงนั้นคือรุ่นแฟล็กชิปเรือธงทรงพลัง กล้องอาจจะไม่ได้โดดเด่นมาก แต่ก็ยังถ่ายได้สวยและเหมาะสำหรับคนชอบถ่ายด้วย Preset สีและอารมณ์แนวสตรีท มีความเรียลและไม่แต่งอะไรจนดูเว่อร์จนไม่เป็นธรรมชาติ
ความน่าสนใจด้านความคุ้มค่า ที่เปิดตัวในไทยในราคาที่ดีมากๆ กับรุ่น 12GB+256GB ราคา 27,999 บาท และ 16GB+512GB ราคา 30,999 บาท ซึ่งผมก็คงเชียร์ให้จัดเต็มตัวท็อปไปเลย เพราะสิ่งที่ได้ก็คุ้มกับราคานี้ (แถมบางครั้งถ้าซื้อผ่านออนไลน์ คุณอาจจะหาคูปองหรือโปรมาลดจากราคานี้ได้อีกหลายพันบาท) และถ้าใครคิดว่าจะรอรุ่น Pro ทาง Nothing บอกแล้วว่าไม่มีนะจ๊ะ รุ่นนี้คือท็อปสุดแล้ว
สรุปสุดท้ายกับ รีวิว Nothing Phone (3) ไม่ได้เด่นแค่เรื่องของดีไซน์ที่อินดี้อีกต่อไป แต่เขามีเสริมทั้งประสิทธิภาพและฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่น่าสนใจ สำหรับใครที่อยากจะลองจับลองเล่นเครื่องจริง สามารถไปลองกันได้ที่ dotlife, Jaymart, Banana, Mocare, Powerbuy, Power Mall และ Pro Gadgets, ผู้บริการเครือข่าย AIS หรือสั่งซื้อช่องทางออนไลน์ Lazada, Shopee และ Alottech

สรุปข้อมูล สเปก Nothing Phone (3)
- ในกล่อง: Nothing Phone (3), สาย Nothing (c-c) ยาว 100 ซม., ฟิล์มกันรอยหน้าจอ (ติดมาให้), เข็มจิ้มซิม, การ์ดความปลอดภัย
- ขนาดและน้ำหนัก: สูง: 160.60 มม., กว้าง: 75.59 มม., หนา: 8.99 มม., น้ำหนัก: 218 กรัม
- ความจุ: 12GB+256GB และ 16GB+512GB
- ซอฟต์แวร์ที่รองรับ: Nothing OS 3.5 ขับเคลื่อนโดย Android 15
- เซ็นเซอร์: เซ็นเซอร์ลายนิ้วมือบนหน้าจอ, Accelerometer, เข็มทิศอิเล็กทรอนิกส์, เซ็นเซอร์วัดแสงด้านหน้า, Gyroscope, Proximity sensor
- เสียง: ไมโครโฟนความละเอียดสูง 2 ตัว, ลำโพงสเตอริโอคู่
- การรองรับ SIM: Dual nano-SIM, eSIM
- เครือข่ายและการเชื่อมต่อ: NFC, Bluetooth 6.0, Gigabit LTE พร้อม 4×4 MIMO, Gigabit 5G Dual Mode (NSA & SA) พร้อม 4×4 MIMO, Wi-Fi 7 (802.11a/b/g/n/ac/ax/be, 2.4G/5G/6G Tri-band, 2×2 MIMO และ MU-MIMO, Wi-Fi Direct, Hotspot), GPS (L1+L5 dual-band A-GPS, GLONASS, BDS, GALILEO, QZSS, NavIC, และ SBAS), เสาอากาศ 360°
- กล้อง:
- กล้องหลัก: 50 MP, f/1.68, เซ็นเซอร์ 1/1.3″, OIS & EIS, Auto focus, 2×2 OCL PDAF, 2x in-sensor zoom
- กล้อง Periscope: 50MP, f/2.68, เซ็นเซอร์ 1/2.75″, OIS & EIS, Auto focus, PDAF, 3x optical zoom, 6x in-sensor zoom, 60x ultra zoom
- กล้อง Ultra-wide: 50 MP, f/2.2, เซ็นเซอร์ 1/2.76″, EIS, 114° FOV
- กล้องหน้า: 50 MP, f/2.2, เซ็นเซอร์ 1/2.76″, EIS, 81.2° FOV
- การบันทึกวิดีโอ: 4K Ultra XDR ที่ 30 หรือ 60 FPS, 1080p ที่ 30 หรือ 60 FPS, Slo-mo ที่ 1080p 120 หรือ 240 FPS, Time Lapse ที่ 4K/1080p
- คุณสมบัติกล้องเพิ่มเติม: TrueLens Engine, Ultra XDR, Auto Tone, Portrait Optimiser, Action Mode, Macro Mode, Night Mode, Motion Capture
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
