รีวิว Nothing Headphone (1)

รีวิว Nothing Headphone (1) หูฟังโคตรจะอินดี้ เสียงดีเกินคาด

พบกับ รีวิว Nothing Headphone (1) หูฟังแบบครอบหัวรุ่นแรกจากแบรนด์มือถือโคตรอินดี้อย่าง Nothing ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นเห็นตั้งแต่ปากซอย ที่มาพร้อมกับประสบการณ์ฟังในระดับพรีเมียมในราคาที่ถูกเกินคาด

เพราะว่า Nothing Headphone (1) เปิดตัวในไทยด้วยราคา 8,999 บาท หลายคนอาจต้องขยี้ตาแล้วอ่านซ้ำอีกรอบ เพราะราคานี้ถูกกว่าตลาดต่างประเทศที่วางขายอยู่ที่ $299 หรือประมาณ 10,500 บาท ซึ่งการตั้งราคาแบบนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า Nothing ให้ความสำคัญกับตลาดไทยมากแค่ไหน

Nothing เป้นแบรนด์จากลอนดอนที่ก่อตั้งโดย Carl Pei อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง OnePlus มาพร้อมปรัชญาที่ชัดเจน: “สร้างเทคโนโลยีคุณภาพสูงในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้” และหูฟังรุ่นแรกนี้ก็เป็นการพิสูจน์คำพูดนั้นได้เป็นอย่างดี

ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการจับมือกับ KEF แบรนด์ลำโพงระดับไฮเอนด์จากอังกฤษที่มีประสบการณ์กว่า 60 ปี การร่วมมือครั้งนี้ทำให้หูฟังราคาไม่ถึงหมื่นกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการจูนเสียงโดยผู้เชี่ยวชาญตัวจริง

รีวิว Nothing Headphone (1)

แล้วในราคา 8,999 บาท เราจะได้อะไรบ้าง?

คำตอบคือได้เกือบทุกอย่างที่หูฟังระดับพรีเมียมควรมี ทั้ง Active Noise Cancellation ที่ตัดเสียงได้ถึง 42dB, ดีไซน์โปร่งใสสุดเท่, ไดรเวอร์ 40mm ที่รองรับ Hi-Res Audio, แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานถึง 35 ชั่วโมง และฟีเจอร์อัจฉริยะที่ครบครัน

แต่ที่สำคัญที่สุด คือมันให้ประสบการณ์การฟังเพลงที่ “แตกต่าง” ในราคาที่จับต้องได้จริง โดยไม่ต้องควักเงินหลักหมื่นถึงสองหมื่นเหมือนหูฟังพรีเมียมทั่วไป

ทีมงาน TechOffside ได้ทดสอบลองใช้ Headphone (1) มาได้สักพัก จะมาเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้รับในด้านต่างๆ ทั้งด้านความประทับใจ จุดที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อ และบอกคุณได้ว่า หูฟังสุดแนวรุ่นนี้เหมาะกับใครที่สุด

แกะกล่อง Unbox รีวิว Nothing Headphone (1)

แพ็กเกจของ Headphone (1) มาในขนาดใหญ่อลังการโชว์ภาพของตัวหูฟังแบบเจาะซูมดีไซน์แบบให้เห็นชัดๆ แกะตัวแจ็กเกตด้านนอกออกจะเห็นกล่องด้านในที่ขาวสนิทแล้วพิมพ์นูนเป็นดีไซน์ของหูฟังดูสวยงาม

ด้านในเปิดมาจะเป็นตัวเคสสำหรับใส่ตัวหูฟัง (และหูฟังก็อยู่ในเคสนี้นี่ล่ะ) การเปิดจะเป็นซิปที่ซ่อนด้านใน มีพิมพ์คำว่า Nothing เอาไว้ที่ตัวรูดซิปด้วย

ในกล่องจะมีคู่มือการใช้งานเบื้องต้น เอกสารต่างๆ และจะมีสายเชื่อมต่อมาให้ 2 แบบคือ สาย USB-C to USB-C และสายแบบ 35mm สำหรับเสียบสัญญาณเสียงกับอุปกรณ์รุ่นเก่า

ดีไซน์: สวยแบบมีเอกลักษณ์ สวยแบบตะโกน

หากถามว่าอะไรคือสิ่งแรกที่ทำให้ Nothing Headphone (1) โดดเด่นท่ามกลางตลาดหูฟังที่มีหลากหลายแบรนด์ คำตอบคงหนีไม่พ้นดีไซน์โปร่งใสที่กลายเป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ การที่เราสามารถมองเห็นส่วนประกอบภายใน ที่แม้ว่าจะไม่ใช่ชิ้นส่วนในแผงวงจรจริงๆ แต่ก็เป็นโครงสร้างที่ดูเป็นโครงใน ความลึกตื้น ไปจนถึงเส้นสายหรือแม้แต่สกรูตัวเล็กๆ ทำให้หูฟังรุ่นนี้ดูเท่ เก๋ และมีเอกลักษณ์แตกต่างจากใครๆ

จากประสบการณ์ใช้งานจริง ต้องยอมรับว่าดีไซน์นี้สวยจริง และไม่ได้เว่อร์จนเกินไป ใส่ออกไปข้างนอกก็ดูดี เข้ากับการแต่งตัวได้หลายสไตล์ โดยเฉพาะตัวเลือกสีดำที่ดูลึกลับน่าค้นหา หรือสีขาวที่ให้ความรู้สึกสะอาดตาและมินิมอล

แต่ความสวยนี้ ก็มาพร้อมกับข้อควรระวัง เพราะพลาสติกใสนั้นเป็นวัสดุที่ค่อนข้างอ่อนไหว อาจเกิดรอยขีดข่วนได้ง่ายหากไม่ระมัดระวัง และการทิ้งไว้ในกระเป๋าโดยไม่ใส่เคสอาจทำให้เกิดรอยได้ ดังนั้นสำหรับใครที่ซื้อมาแล้ว แนะนำให้ใช้เคสที่ให้มาด้วยทุกครั้ง

สำหรับส่วนประกอบหลักของตัวหูฟังทำจากอะลูมิเนียมขึ้นรูปที่ให้ความรู้สึกแข็งแรงและพรีเมียม โดยเฉพาะตรงข้อต่อและจุดหมุนต่างๆ ที่ออกแบบมาอย่างแน่นหนา ทำให้มั่นใจได้ว่าจะใช้งานได้ยาวนานแม้จะพับเก็บบ่อยครั้ง แต่ความแข็งแรงนี้ก็แลกมาด้วยน้ำหนักที่ค่อนข้างมาก ที่ 329 กรัม

อย่างไรก็ตาม Nothing ได้ออกแบบการกระจายน้ำหนักได้ดี ทำให้เวลาสวมใส่จริงๆ ไม่ได้รู้สึกหนักมากนัก

ตัวแถบคาดศีรษะมีการบุโฟมนุ่ม และที่ครอบหูก็กว้างพอที่จะกระจายแรงกดได้อย่างสม่ำเสมอ

การพับเก็บของหูฟังทำได้ง่าย แม้จะไม่มีกลไกซับซ้อนอะไรมาก เพียงแค่พับให้ตัวครอบหูทั้งสองข้างแบนราบลง ก็สามารถใส่ในเคสแบบแบนที่ให้มาได้ ซึ่งเคสนี้ออกแบบมาได้ดี ไม่เปลืองพื้นที่ในกระเป๋า และยังมีช่องใส่สายชาร์จและสายเสียงด้วย

โดยรวมแล้ว ดีไซน์ของ Nothing Headphone (1) คือการผสมผสานระหว่างความสวยงามและการใช้งานจริง แม้จะต้องดูแลเป็นพิเศษกว่าหูฟังทั่วไป แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรสำหรับคนที่หลงรักในดีไซน์นี้

การสวมใส่และความสบาย จากประสบการณ์จากการใช้จริง

รีวิว Nothing Headphone (1)

เรื่องแรกที่อยากบอกเกี่ยวกับความสบายคือ โฟม PU Memory Foam ที่ใช้ทั้งที่แถบคาดศีรษะและที่ครอบหู ให้สัมผัสที่นุ่มนวลและรองรับศีรษะได้ดี ในช่วงแรกๆ ของการใช้งาน ประมาณ 1-2 ชั่วโมง ยังไม่รู้สึกอึดอัดหรือเมื่อยแต่อย่างใด แต่เมื่อใช้งานนานขึ้น โดยเฉพาะเกิน 2 ชั่วโมง จะเริ่มรู้สึกถึงข้อจำกัดบางอย่าง

โฟมที่ครอบหูแบบติดแน่นถาวรไม่สามารถถอดแยกได้ และดูเหมือนการออกแบบจะเน้นการปิดผนึกเพื่อประสิทธิภาพของ ANC มากกว่าการระบายอากาศ

รีวิว Nothing Headphone (1)

จากประสบการณ์ที่เราได้ เมื่อใส่หูฟังนานๆ ในห้องแอร์ ก็ปกติไม่มีอะไร แต่พอออกไปใช้นอกบ้าน โดยเฉพาะช่วงกลางวันที่อากาศร้อน จะเริ่มรู้สึกอบอ้าวและมีเหงื่อออกภายใน 1 ชั่วโมง ยิ่งถ้าต้องเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ความร้อนจะสะสมเร็วขึ้นไปอีก และด้วยน้ำหนัก 329 กรัม นั้นก็พอจะรู้สึกได้เมื่อใช้งานสวมใส่ต่อเนื่องนานๆ

แม้ว่า Nothing จะพยายามกระจายน้ำหนักผ่านการออกแบบที่สมดุล แต่สำหรับคนที่ไม่ชินกับหูฟังครอบหัว อาจรู้สึกว่ามันหนักกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะเมื่อต้องก้มหน้าทำงานหรืออ่านหนังสือ

รีวิว Nothing Headphone (1)

แต่ที่น่าชมคือระบบการปรับขนาดที่ทำงานได้ลื่นและแน่นหนา แขนสไลด์ยืดออกได้อย่างนุ่มนวล และเมื่อปรับได้ขนาดที่ต้องการแล้ว มันจะล็อคอยู่ในตำแหน่งนั้นได้ดี ไม่หลุดง่าย แม้จะใช้งานหนักๆ

สำหรับคนที่สวมแว่นตา จะมีความท้าทายเพิ่มขึ้นมาอีกนิด เพราะแรงกดของที่ครอบหูอาจทำให้ขาแว่นกดเข้ากับศีรษะ สร้างความไม่สบายได้ในระยะยาว แนะนำให้ปรับตำแหน่งขาแว่นให้อยู่เหนือที่ครอบหูเล็กน้อย จะช่วยลดแรงกดได้ หรือถ้าใช้แว่นที่มีขาขนาดเล็กก็จะไม่ค่อยมีปัญหาในจุดนี้

รีวิว Nothing Headphone (1)

โดยสรุปแล้ว Nothing Headphone (1) ให้ความสบายในระดับที่ดีสำหรับการใช้งานปกติ แต่หากต้องการใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือใช้ในสภาพอากาศร้อน อาจต้องมีช่วงพักบ้าง การเลือกใช้ในห้องแอร์หรือที่ร่มจะให้ประสบการณ์ที่ดีกว่า และอย่าลืมทำความสะอาดที่ครอบหูเป็นประจำเพื่อสุขอนามัยที่ดี

อีกเรื่องที่คนสงสัยว่า ใส่ออกกำลังกายได้มั้ย ถึงแม้ว่าหูฟังรุ่นนี้จะเป็น IP52 ที่สามารถกันเหงื่อกันน้ำกระเซ็นได้ คุณคงอยากใส่หูฟังเท่ๆ ระหว่างยกเวทหรือวิ่งลู่ให้คนในฟิตเนสหันมามอง แต่เชื่อเถอะครับ ด้วยรูปทรงนี้ กับน้ำหนักต่อข้างที่มากกว่า 100 กรัม มันคือภาระที่กับบนศีรษะมากมาย รวมไปถึงการระบายอากาศในหู คุณวิ่งไปแค่ไม่กี่สิบนาทีก็เหมือนมีซาวน่ามาประกบอยู่ข้างหูของคุณอย่างแน่นอน

ดังนั้นเราไม่แนะนำเลยที่จะเอาหูฟังทรง Headphone ไปใส่เพื่อออกกำลังกาย เพราะนอกจากความเท่แล้ว มันไม่มีข้อดีอะไรอีกเลย

ระบบควบคุม: ใช้ปุ่มกดหลากหลายแบบที่ใช้งานง่าย

ในยุคที่หูฟังส่วนใหญ่หันไปใช้ระบบสัมผัส Nothing กลับเลือกทางที่แตกต่างด้วยการใช้ปุ่มกดแบบฟิสิคัล แถมยังแปลกเข้าไปอีก เพราะปุ่มทั้งหมดถูกออกแบบมาอให้กดใช้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน และมีรวมอยู่บนคัพด้านขวาเพียงด้านเดียว

รีวิว Nothing Headphone (1)

Roller หรือลูกกลิ้งเป็นดาวเด่นของระบบนี้ จะใช้เป็นการเลื่อนซ้ายขวาเพื่อปรับระดับเสียง กดเพื่อเล่น/หยุดเพลง และกดค้างเพื่อสลับระหว่าง ANC กับ Transparency Mode การใช้งานรู้สึกแม่นยำและตอบสนองดี ไม่มีปัญหาการสัมผัสผิดพลาดเหมือนระบบทัชแพด

รีวิว Nothing Headphone (1)

Paddle แบบปัดซ้ายขวาทำหน้าที่ควบคุมแทร็กเพลง ปัดขวาเพื่อเพลงถัดไป ปัดซ้ายเพื่อย้อนกลับ และที่เจ๋งคือดันค้างเพื่อกรอเร็ว ทำให้ไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนหาช่วงที่ต้องการฟังในเพลงหรือพอดแคสต์

รีวิว Nothing Headphone (1)

ส่วน Button ที่มุมด้านหน้าของหูฟัง เป็นปุ่มที่ปรับแต่งการทำงานได้ผ่านแอป Nothing X ถ้าใช้กับ Nothing Phone จะได้ฟีเจอร์ Channel Hop ที่วนไปมาระหว่างแอปเพลงโปรด หรือจะกดเพื่อคุยกับ  ChatGPT ได้ แต่กับอุปกรณ์อื่นๆ ก็ยังตั้งให้เป็นปุ่มเรียกใช้งานผู้ช่วย Assistant ของระบบได้

รีวิว Nothing Headphone (1)

ยังมีปุ่ม Bluetooth สำหรับเปิดเข้าโหมด Pairing วางหลบเอาไว้อยู่ที่มุมด้านในของหูฟัง เป็นจุดที่ดูแอบๆ ซ่อนๆ แต่ก็สื่อให้เห็นว่าเป็นปุ่มที่อาจจะไม่ได้ใช้บ่อยๆ ใช้แค่ตอนจะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใหม่เท่านั้น จึงเอามาไว้ในๆ เพื่อไม่ให้เกะกะ

รีวิว Nothing Headphone (1)

อีกปุ่มที่ดูต่างกว่าชาวบ้านก็คือปุ่ม Power ที่ไม่ใช่ปุ่มกด แต่เป็นสวิทช์เล็กๆ ที่ให้อารณ์เหมือนอุปกรณ์ยุค 2000 เรียกได้ว่าปุ่มทั้งหมด 5 ปุ่มบนหูฟังรุ่นนี้ เป็น 5 สไตล์ที่ไม่เหมือนกันเลย

การออกแบบปุ่มที่หลากหลาย ถือว่าเป็นความคิดที่สร้างสรรค์ แต่ผมมีข้อกังวลอยู่อย่างหนึ่งคือ “วัสดุยาง” ที่หุ้มลูกกลิ้ง เพราะจากประสบการณ์ใช้อุปกรณ์ที่มียางหุ้มแบบนี้ มันมักจะเสื่อมสภาพเมื่อใช้นานๆ โดยเฉพาะถ้าโดนความร้อน เหงื่อ หรือครีมกันแดด ดังนั้นแนะนำให้หมั่นเช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ เป็นประจำ

ส่วนตัวผมมองว่า Nothing เลือกการวางตำแหน่งปุ่มทั้งหมดไว้ด้านขวาเป็นการตัดสินใจที่ฉลาด เพราะผู้ใช้ไม่ต้องจำว่าปุ่มไหนอยู่ข้างไหน และเมื่อใช้ไปสักพัก มือจะจำตำแหน่งได้เองโดยอัตโนมัติ ทำให้การควบคุมเป็นไปอย่างลื่นไหลแม้ไม่ต้องมองหูฟัง

ในแง่การใช้งานจริง ระบบปุ่มกดนี้ให้ความแม่นยำในการกดมากกว่าระบบสัมผัสมาก ไม่มีปัญหาการทำงานผิดพลาดเวลาเหงื่อออก ฝนตก หรือใส่ถุงมือ และที่สำคัญคือมันให้ feedback ที่ชัดเจนทุกครั้งที่กด ทำให้มั่นใจว่าคำสั่งถูกส่งไปแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบสัมผัสหลายๆ รุ่นยังทำได้ไม่ดีนัก

ส่วนตัวผมชอบตอนกดสั่งสลับเปิด-ปิดการตัดเสียงรบกวน ANC ที่จะมีเสียงดังในหูแบบถอนหายใจ ฮ้าาาาา เวลาเปิด Transparency และจะมีเสียงดังฮึบตอนที่เปิด ANC สื่อสารให้เรารู้ถึงการใช้งานในโหมดนั้นได้ดี

คุณภาพและคาแรคเตอร์เสียง

หัวใจสำคัญของหูฟังคือคุณภาพเสียง และ Nothing Headphone (1) ก็จัดเต็มมาให้ด้วยไดรเวอร์ไดนามิกขนาด 40 มม. ที่จูนโดย KEF ผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงจากอังกฤษ ทำให้ได้เสียงที่มีความสมดุลและเป็นธรรมชาติตั้งแต่กดเล่นเพลงแรก

เสียงที่ออกมาตั้งแต่แกะกล่องถือว่าอยู่ในระดับที่ “ดีน่าพอใจ” ตัวเสียงไม่ได้บิดเบือนไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไป เบสมีความลึกพอประมาณ กลางชัดเจน และแหลมไม่บาดหู แต่สำหรับคนที่ชอบเสียงแบบเฉพาะเจาะจง แอป Nothing X ก็พร้อมให้คุณปรับแต่งได้อย่างละเอียด

Equalizer ในแอปนั้นเรียกได้ว่าครบเครื่องมาก มีทั้ง Preset สำเร็จรูป 4 แบบ (Balanced, More Bass, More Treble, Voice) และ EQ แบบ 8-band ที่ปรับได้ละเอียด สำหรับออดิโอไฟล์มือสมัครเล่น ถือว่าเป็นของเล่นที่สนุกและใช้งานได้จริง

สำหรับคนชอบเบสหนักๆ มี Bass Enhancement ให้เลือกถึง 5 ระดับ จากการทดลองใช้ ระดับ 2-3 ให้เบสที่กำลังดี เพิ่มความมันส์ได้โดยไม่กลบเสียงอื่น แต่ถ้าเปิดระดับ 5 เต็มที่ อาจจะมากไปหน่อยสำหรับบางคน โดยเฉพาะกับเพลงที่มีเบสเยอะอยู่แล้ว

Active Noise Cancellation ทำงานได้ในระดับที่น่าพอใจมาก ด้วยระบบไฮบริดที่ใช้ไมโครโฟนทั้งแบบ feedforward และ feedback ทำให้ตัดเสียงได้สูงสุด 42dB โดยมีให้เลือกใช้ 3 ระดับ หรือจะใช้โหมด Adaptive ที่ปรับอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมก็ได้

จากการใช้งานจริง ANC ตัดเสียงความถี่ต่ำได้ดีมาก เสียงเครื่องปรับอากาศ พัดลม หรือเสียงครืนๆ ของรถไฟฟ้าแทบจะหายไปเลย แต่เสียงความถี่สูงอย่างเสียงคนพูดคุยยังลอดเข้ามาได้บ้าง ซึ่งบางทีก็ดีเพราะยังพอรับรู้สิ่งรอบข้างได้

Transparency Mode ก็ทำได้ดีเกินคาดเช่น เสียงที่เข้ามาฟังดูเป็นธรรมชาติ บางครั้งถึงขั้นลืมไปเลยว่ากำลังใส่หูฟังอยู่ เหมาะมากสำหรับการสนทนาหรือต้องการรับรู้เสียงรอบข้างโดยไม่ต้องถอดหูฟัง

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ Spatial Audio มีให้เลือกทั้งแบบ Fixed ที่ล็อคตำแหน่งเสียง และ Head-tracking ที่เสียงจะเคลื่อนตามการหันหัว เพิ่มมิติให้การฟังเพลงและดูหนังสมจริงขึ้น

การรองรับ Hi-Res Audio ผ่าน LDAC ที่ 24bit/96kHz ทำให้ฟังเพลงคุณภาพสูงได้เต็มที่ แต่แน่นอนว่าต้องมีไฟล์เพลงที่ดีพอและอุปกรณ์ที่รองรับด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ Nothing Headphone (1) มีครบในสิ่งที่หูฟังที่ดีควรมีครบถ้วน

การเชื่อมต่อและฟีเจอร์พิเศษ

Nothing Headphone (1) มาพร้อมกับ Bluetooth 5.3 ให้การเชื่อมต่อที่เสถียรและประหยัดพลังงาน รองรับการเชื่อมต่อแบบ Multipoint ได้ 2 อุปกรณ์พร้อมกัน ซึ่งสะดวกมากสำหรับคนที่ต้องสลับการใช้งานระหว่างโทรศัพท์กับแล็ปท็อป ระบบจะสลับให้อัตโนมัติเมื่อมีสายเรียกเข้า

การจับคู่ครั้งแรกทำได้ง่ายมาก รองรับทั้ง Google Fast Pair สำหรับ Android และ Microsoft Swift Pair สำหรับ Windows ทำให้ไม่ต้องเข้าเมนู Bluetooth เพื่อจับคู่แบบเดิมๆ แค่เปิดหูฟังใกล้อุปกรณ์ ป๊อปอัพก็จะขึ้นมาให้กดจับคู่ได้เลย

สำหรับเกมเมอร์ มี Low Lag Mode ให้เปิดใช้ ช่วยลดความหน่วงของเสียงให้ซิงค์กับภาพได้ดีขึ้น จากการทดลองเล่นเกมแนว FPS บนมือถือ รู้สึกได้ว่าเสียงปืนและการเคลื่อนไหวตรงกันดี ไม่มีอาการเสียงตามภาพที่รำคาญ

ที่น่าสนใจคือการรองรับสายเชื่อมต่อทั้ง 2 แบบ นอกจากแจ็ค 3.5 มม. แบบดั้งเดิมแล้ว ยังมีการเชื่อมต่อผ่าน USB-C ด้วย ซึ่งสะดวกมากในยุคที่โทรศัพท์ส่วนใหญ่ตัดแจ็คหูฟังไปแล้ว ใช้สาย USB-C เส้นเดียวได้ทั้งชาร์จและฟังเพลง

แต่มีข้อเสียนิดหน่อยคือไม่รองรับ Passive Mode หมายความว่าถ้าแบตหมด จะใช้งานผ่านสายไม่ได้เลย ต้องชาร์จให้มีไฟพอที่จะเปิดเครื่องก่อน ซึ่งอาจไม่สะดวกในบางสถานการณ์

ฟีเจอร์พิเศษที่น่าสนใจมากคือการทำงานร่วมกับ Nothing Phone กับปุ่ม Button จะปลดล็อคความสามารถ Channel Hop ที่กดเพื่อสลับระหว่างแอปโปรด หรือจะตั้งให้เปิด ChatGPT เพื่อถามคำถามด้วยเสียงได้ทันที โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา 

รวมถึง Essential Space ก็เป็นอีกฟีเจอร์เฉพาะสำหรับผู้ใช้ Nothing Phone กดปุ่มค้างเพื่อบันทึกเสียงสั้นๆ แล้ว AI จะจัดหมวดหมู่ให้อัตโนมัติ เหมาะสำหรับบันทึกไอเดียแบบด่วนๆ หรือรายการที่ต้องซื้อ โดยไม่ต้องปลดล็อคโทรศัพท์

แต่ไม่ต้องน้อยใจ เพราะคนที่ไม่ได้ใช้ Nothing Phone ก็ยังปรับแต่งปุ่มนี้ได้ โดยตั้งให้เปิด Spotify, Apple Music, เรียก Google Assistant หรือ Siri ได้ตามต้องการ ทำให้หูฟังตัวนี้ยืดหยุ่นและใช้งานได้ดีกับทุกแพลตฟอร์ม

มีระบบตรวจจับการสวมใส่ก็ทำงานได้ดี ถอดหูฟังออกเพลงจะหยุดอัตโนมัติ ใส่กลับก็เล่นต่อ ช่วยประหยัดแบตเตอรี่และสะดวกเวลาต้องคุยกับคนรอบข้างชั่วคราว

รีวิว Nothing Headphone (1)

แบตเตอรี่และความทนทาน

เรื่องแบตเตอรี่คือไฮไลต์สำคัญของ Nothing Headphone (1) ด้วยความจุ 1,040 mAh ที่ให้การใช้งานได้นานถึง 35 ชั่วโมง เมื่อเปิด ANC ซึ่งตัวเลขนี้เหนือกว่าคู่แข่งระดับพรีเมียมหลายรุ่น ทั้ง AirPods Max, Sony WH-1000XM5 และ Bose QuietComfort Ultra

ถ้าปิด ANC จะใช้งานได้นานถึง 80 ชั่วโมง! เป็นตัวเลขที่น่าทึ่งมาก หมายถึงชาร์จครั้งเดียวใช้ได้เกือบ 2 สัปดาห์สำหรับคนฟังเพลงวันละ 5-6 ชั่วโมง ลืมชาร์จบ้างก็ไม่เดือดร้อน

การชาร์จเต็มใช้เวลา 2 ชั่วโมงผ่าน USB-C แต่ที่เจ๋งกว่าคือฟีเจอร์ ชาร์จเร็ว ที่ชาร์จแค่ 5 นาทีก็ใช้งานได้ 5 ชั่วโมง (ปิด ANC) หรือ 2.4 ชั่วโมง (เปิด ANC) เหมาะมากสำหรับเช้าที่ลืมชาร์จมาแล้วต้องรีบออกบ้าน

สำหรับคนที่ชอบฟังเพลงคุณภาพสูงผ่าน LDAC ก็ยังได้อายุการใช้งานที่ดี 30 ชั่วโมงเมื่อเปิด ANC หรือ 54 ชั่วโมงเมื่อปิด ถือว่าไม่ต้องแลกระหว่างคุณภาพเสียงกับเวลาใช้งานมากนัก

ด้านความทนทาน Nothing ไม่ได้มาเล่นๆ หูฟังผ่านการทดสอบมากกว่า 50 รายการ ทั้งการทดสอบการตกกระแทก การบิดงอ ความทนต่อเหงื่อ และอุณหภูมิสูง-ต่ำ พร้อมมาตรฐาน IP52 ที่กันฝุ่นและน้ำได้ในระดับหนึ่ง

รีวิว Nothing Headphone (1)

จากการใช้งานจริง ความแข็งแรงรู้สึกได้ชัดเจน โครงสร้างอะลูมิเนียมและข้อต่อต่างๆ แน่นหนามาก แม้จะพับเก็บทุกวันก็ไม่มีอาการหลวมคลอน และแม้จะมีฝนปรอยๆ หรือเหงื่อออกขณะใช้งาน ก็ไม่มีปัญหาอะไร

ภายในไดอะแฟรมของไดรเวอร์ยังเคลือบนิกเกิลเพิ่มความแข็งแรง นอกจากช่วยเรื่องคุณภาพเสียงแล้ว ยังทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่เสื่อมสภาพง่ายๆ แม้ใช้งานหนักในระยะยาว

ในด้านของการดูแลรักษาก็ไม่ยุ่งยาก แนะนำให้เช็ดทำความสะอาดด้วยผ้านุ่มๆ เป็นประจำ โดยเฉพาะบริเวณที่สัมผัสกับผิวหนัง และเก็บในเคสทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน เท่านี้ก็ช่วยให้หูฟังอยู่ในสภาพดีได้นานๆ

เมื่อรวมทุกอย่างแล้ว ด้านความทนทานและแบตเตอรี่ถือเป็นจุดแข็งที่สุดของหูฟังรุ่นนี้ การที่ไม่ต้องชาร์จบ่อยและใช้งานได้หลากหลายสภาพแวดล้อม ทำให้เป็นหูฟังที่พร้อมใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างแท้จริง

รีวิว Nothing Headphone (1)

สรุป รีวิว Nothing Headphone (1) ใครควรซื้อ และคุ้มค่าแค่ไหน

หลังจากใช้งาน Nothing Headphone (1) มาอย่างจริงจัง ต้องบอกว่ามันคือหูฟังที่ “คุ้มค่า” ในราคา 8,999 บาท โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ส่วนใหญ่ต้องจ่ายเกิน 10,000-15,000 บาทขึ้นไป

ใครที่ควรซื้อ:

  • คนงบจำกัดแต่อยากได้หูฟัง ANC ดีๆ – ในราคานี้หาหูฟังที่ให้ ANC ระดับ 42dB พร้อมการจูนเสียงจาก KEF ได้ค่อนข้างยาก
  • คนชอบดีไซน์โคตรเท่และแตกต่าง – ดีไซน์โปร่งใสนี้การันตีว่าโดดเด่นแน่นอน ใส่ไปไหนก็มีคนมอง
  • คนที่ใช้งานหลากหลาย – ทั้งฟังเพลง ประชุมออนไลน์ ดูหนัง เล่นเกม รุ่นนี้รองรับได้หมด
  • ผู้ใช้ Nothing Phone – จะได้ฟีเจอร์พิเศษเพิ่มเติมที่ทำให้การใช้งานสะดวกขึ้นไปอีกระดับ

ใครบ้างที่อาจจะไม่เหมาะ:

  • คนที่ต้องใส่หูฟังทั้งวัน – การระบายอากาศที่จำกัดอาจทำให้อึดอัดเมื่อใช้นานๆ
  • นักฟังเพลงระดับหูเคลือบทอง – ถ้าต้องการเสียงระดับ Reference ที่แม่นยำสุดๆ อาจต้องมองรุ่นที่สูงกว่านี้
  • คนที่ชอบความเบา – น้ำหนัก 329 กรัม อาจหนักไปสำหรับบางคน

โดยรวมแล้วหูฟังที่ให้อะไรเกินราคามาก ดีไซน์สวย คุณภาพเสียงดี แบตอึด ฟีเจอร์ครบ ในราคาที่จับต้องได้ แม้จะมีข้อจำกัดและจุดด้อยบางอย่างอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้บั่นทอนความคุ้มค่า

Nothing Headphone (1) พิสูจน์ให้เห็นว่าหูฟังดีๆ ไม่จำเป็นต้องแพง ด้วยราคา 8,999 บาท คุณได้หูฟังที่มีทั้งรูปลักษณ์ที่โดดเด่น สวยเห็นมาแต่ไกล เสียงที่มีคุณภาพ และฟีเจอร์ที่ครบครัน ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับคนที่กำลังมองหาหูฟังครอบหัวรุ่นแรก หรือต้องการอัพเกรดจากรุ่นเดิมโดยไม่ต้องจ่ายสูงมากถ้าคุณเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า ชอบการปรับแต่ง และไม่กลัวที่จะแตกต่าง เราอยากให้คุณไปลอง Nothing Headphone (1) ของจริงดูสักที ที่ร้าน DotLife รวมถึงตัวแทนจำหน่าย เพราะว่าเรื่องของเสียงเป็นเหตุผลด้านรสนิยมส่วนตัวของแต่ละบุคคล แต่เราก็เชื่อว่า นี่เป็นอีกตัวเลือกหน้าใหม่ที่ให้ความรู้สึกที่ดีในการฟังในแต่ละวัน และถ้าคุยกันเรื่องความสวยไม่ซ้ำใคร นี่ล่ะใช่เลยสำหรับคุณแน่นอน

ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok

รีวิว Nothing Headphone (1) หูฟังโคตรจะอินดี้ เสียงดีเกินคาด
หูฟังดีไซน์โดดเด่นเห็นมาแต่ไกล เสียงในระดับที่ดีกับราคาไม่ถึงหมื่น
มีจุดเด่นให้ชมเยอะมาก กับความอินดี้ของแบรนด์ตั้งแต่การออกแบบที่เปี่ยมด้วย DNA ที่ชัดเจน เสียงได้ KEF มาจูนให้ คุณภาพเสียงอยู่ในระดับที่ดีคุ้มกับราคา สำหรับสายชอบเบสฟังสนุก
การออกแบบ
100
ฟีเจอร์การใช้งาน
85
ประสิทธิภาพ
85
ความคุ้มค่า
90
Reader Rating2 Votes
99
จุดเด่น
ดีไซน์สวยเป็นเอกลักษณ์ สวยทั้งสีขาวและสีดำ
ปุ่มกดที่ใช้งานง่าย ออกแบบให้กดที่แตกต่างลงตัว
แบตเตอรี่ใช้ต่อเนื่องได้นานและมีระบบชาร์จเร็ว
เชื่อมต่อสาย USB-C เพื่อฟังเพลงคุณภาพสูงได้
ไมโครโฟนเสียงสนทนาตัดเสียงในระดับที่ดี คมชัด
ราคาขายในไทยถูกกว่าต่างประเทศ
ข้อสังเกต
ฟองน้ำระบายอากาศยังไม่ค่อยดีนัก สวมใส่ต่อเนื่องนานๆ จะเริ่มรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง
น้ำหนักอาจจะหนักไปนิดสำหรับคนที่ไม่เคยใช้หูฟังแบบเฮดโฟน
ANC ยังไม่ได้เงียบสนิท เน้นตัดเสียงต่ำเป็นหลัก
90

Online Content Manager with over 10 years of experience working in the news, technology, and telecom industries.