รีวิว CMF Buds 2 เป็นหูฟังไร้สาย True Wireless แบบ In-ear จาก CMF by Nothing นี่คือหูฟังที่พยายามหาสมดุลระหว่างราคาที่เข้าถึงได้กับฟีเจอร์ที่ครบครัน ถูกออกแบบมาสำหรับคนที่อยากได้หูฟังคุณภาพดีแต่ไม่อยากจ่ายแพงเกินไป
รูปร่างหน้าตาอาจจะไม่ได้โดดเด่นแตกต่างมากนัก แต่ก็มีความชัดเจในเรื่องคุณภาพเสียงที่ทรงพลังและแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนาน และยังมีฟีเจอร์แบบหูฟังไร้สายยุคใหม่ให้มาค่อนข้างครบ ด้วยราคาค่าตัว 1,990 บาท CMF Buds 2 ให้ความแตกต่างด้วยด้วยเคสชาร์จที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์พร้อมกิมมิคเล้กๆ เป็นวงล้อหมุนได้
รีวิว CMF Buds 2 เราได้มาทดสอบพร้อมกับ CMF Phone 2 Pro สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์ ที่ให้ประสบการณ์ใช้งานร่วมกันที่น่าสนใจ จากนี้หลังจากที่ได้ลองใช้งานมาสักพัก ก็จะมาเล่าถึงความน่าสนใจของหูฟังรุ่นนี้กัน
การออกแบบ รูปทรงไม่ได้แตกต่าง แต่ก็มีเอกลักษณ์

ตัวหูฟัง CMF Buds 2 มีดีไซน์ที่ค่อนข้างทั่วไปและไม่ได้มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ที่ดูแล้วก็จะทรงคล้ายกับหูฟัง TWS ทั้งไปที่ในส่วนของพอดเป็นทรงกลมและมีก้านเป็นแท่งทรงเหลี่ยมยาวในส่วนของไมค์ แต่จุดเด่นอยู่ที่ขนาดเล็กและน้ำหนักเบาเพียง 4.5 กรัมต่อข้างเท่านั้น ด้วยน้ำหนักที่ค่อนข้างเบาน ทำให้เวลาที่สวมใส่นานๆ ก็จะไม่ค่อยรู้สึกเมื่อยล้า

ถ้าจะให้บอกถึงจุดเด่นด้านดีไซน์ที่แท้จริงของ CMF Buds 2 ก็คือเคสชาร์จที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกับกิมมิคเป็นวงล้อพลาสติกใสหมุนได้ที่มุมซ้ายบน วงล้อนี้ใส่มาให้ก็ดูเก๋เท่ดี แต่ยังสามารถให้เราใช้นิ้วถือไว้แล้วหมุนเล่นได้ และยังมีช่องให้เอาสายคล้องเชือกขนาดเล็กเพื่อใส่พวงกุญแจห้อยได้ด้วย

ในด้านวัสดุ เคสชาร์จทำจากพลาสติกพื้นผิวแบบด้าน ซึ่งให้ความรู้สึกแข็งแรงและทนทาน แต่ก็สามารถโดนขูดกระแทกก็เป็นรอยได้ค่อนข้างง่าย
สำหรับ CMF Buds 2 มีให้เลือกหลายสี ได้แก่ Dark Grey, Light Grey และ Orange ซึ่งช่วยเพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกสีที่ตรงกับสไตล์ส่วนตัวได้
สำหรับตัวที่เราได้มาทดสอบครั้งนี้ เป็นสีส้ม ที่ส้มได้สวยสะใจและโดดเด่นมากๆ ถือว่าเป็นโทนสีเอกลักษณ์ของแบรนด์ CMF เลยก็ว่าได้ และสีนี้ส่วนตัวก็รู้สึกว่ามีความสดใสและเป็นวัยรุ่นที่เด่นชัดมาก

ในการออกแบบมีจุดที่เรารู้สึกขัดใจอยู่บ้างหลังจากที่ทดสอบลองใช้ คือส่วนของจุกยางหูฟังที่เวลาสวมใส่แล้วยังไม่ค่อยกระชับกับรูหูมากนัก ถึงแม้ว่าจะมีขนาดมาให้เลือกเปลี่ยน 3 ขนาด แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าบางครั้งใส่แล้วก็ยังไม่สามารถปิดช่องหูได้ดีเท่าที่ควร และถ้าเลือกขนาดที่ไม่เหมาะก็จะเลื่อนหลุดได้ค่อนข้างง่าย ส่งผลให้ประสิทธิภาพของระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอคทีฟ (ANC) ลดลงด้วย
คุณภาพเสียง ถูกใจสายเบสหนักๆ
CMF Buds 2 มาพร้อมไดรเวอร์ Dynamic ขนาด 11 มม. แบบ Custom PMI (polymethacrylimide) ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายทอดเสียงที่ทรงพลัง หูฟังรองรับ Audio Codec มาตรฐานอย่าง AAC และ SBC แต่ไม่มีการรองรับมาตรฐานเสียงระดับสูงอย่าง LDAC หรือ Hi-Res Audio ซึ่งก็พอเข้าใจได้กับหูฟังที่ต้องการควบคุมต้นทุนไม่ให้ราคาสูงเกินไป

การปรับจูนเสียงแนะนำให้เริ่มต้นกับระบบ Dirac Opteo™ ซึ่ง Nothing อธิบายว่าเป็นเทคโนโลยีการแก้ไขเสียงขั้นสูงที่ช่วยขจัดเสียงสะท้อนหรือสีของเสียงที่ไม่พึงประสงค์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเสียงให้สูงสุด
หลังจากที่ได้ทดลองฟัง ตัวคาแรคเตอร์เสียงโดยรวมของ CMF Buds 2 พอจะให้คำนิยามว่า “เสียงที่ดังและกระหึ่ม ” รู้สึกได้ว่ามีการปรับจูนเสียงให้มีความอุ่น (warmer) และมีเบสที่หนักแน่นกว่าปกติ
ตัวเสียงเบสชัดเจนและแน่นมาก เหมาะสำหรับเพลงที่ต้องการความหนักแน่นของเสียงเบส ส่วนเสียงกลางยังมีความเต็มอิ่มที่ค่อนข้างดี ทำให้เสียงร้องฟังดูโดดเด่นและสมดุลมากขึ้น ส่วนเสียงแหลมถูกลดความจัดจ้านลงเล็กน้อย ทำให้ฟังได้นานโดยไม่เมื่อยหู
โดยรวมแล้วเหมาะสำหรับการฟังเพลงที่มีเสียงร้องเป็นหลัก และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับเพลงแนว Pop, Hip-Hop หรือแนวเพลงยอดนิยมที่ต้องการความหนักแน่นของเสียงเบส ซึ่งใช่เลย นี่เป็นแนวเพลงยอดฮิตของคนไทยที่นิยมฟังกัน
เพื่อให้การใช้งานปรับแต่งได้อย่างเต็มที่ แนะนำให้ดาวนโหลด แอป Nothing X ที่มีให้ใช้ทั้งใน Android และ iOS ที่จะให้คุณเลือกปรับเสียงได้อย่างอิสระ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ช่วยให้คุณเลือกเสียงได้ตามความชอบ โดยภายในแอปมี Presets EQ ให้เลือก 6 แบบ คือ DIRAC OPTEO, POP, ROCK, CLASSICAL, ELECTRONIC, ENHANCE VOCALS
จากที่ลองปรับแล้ว มีข้อสังเกตคือการเปลี่ยนไปใช้ EQ Presets อื่นๆ นอกเหนือจาก Dirac Opteo หรือ Custom Preset อาจทำให้เสียงมีอาการสะดุด เสียงอับ และรู้สึกว่าเวทีเสียงแคบลงอย่างเห็นได้ชัด

ประสิทธิภาพของไมโครโฟน และตัดเสียงรบกวน ANC
CMF Buds 2 มาพร้อมระบบไมโครโฟน 6 ตัว ซึ่งการออกแบบก้านหูฟังช่วยให้ไมโครโฟนอยู่ใกล้ปากมากขึ้น ทำให้การรับเสียงสำหรับการโทรทำได้ดีเยี่ยมและเสียงพูดมีความชัดเจนในการสนทนา พร้อมทั้งยังมีเทคโนโลยี Clear Voice 3.0 และ Wind Noise Reduction ช่วยลดเสียงรบกวนจากลมและสภาพแวดล้อม ทำให้การสนทนายังคงชัดเจนแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง
ในการใช้เพื่อการสนทนา ถือว่าทำได้ดีในระดับที่น่าพึงพอใจ เสียงดังต่างๆ รอบข้างเวลาที่อยู่ริมถนน ในออฟฟิศ หรือในรถไฟฟ้า ดังน้อยลงไปพอสมควร ส่วนเสียงพูดของเรายังได้ยินชัด อาจจะมีมิติลดลงแต่ก็ทำให้การสนทนาสามารถได้ยินเข้าใจชัดเจน
มาดูกันในส่วนของระบบ Adaptive ANC ที่สามารถตัดเสียงรบกวนได้สูงสุด 48dB ประสิทธิภาพ ANC โดยรวมให้อยู่ในระดับที่ “ดีพอใช้” และ “ดีพอสมควร” คือไม่ถึงกับเงียบสงัดตัดจนเงียบงัน แต่สามารถช่วยลดเสียงความถี่ต่ำเช่นเสียงจอแจในสภาพการจราจรลงไปได้
ส่วนตัวมองว่า ANC ยังไม่ใช่จุดแข็งที่โดดเด่นของหูฟังรุ่นนี้ และในบางสถานการณ์ความแตกต่างระหว่างการเปิด-ปิด ANC อาจจะไม่ค่อยแตกต่าง ซึ่งบางครั้งก็เกิดจากเสียงความถี่สูงบางส่วนอาจเล็ดลอดเข้ามาได้เนื่องจากการสวมจุกยางหูฟังที่ไม่ได้แน่นสนิท
แต่โดยรวมแล้ว ประสิทธิภาพ ANC ของ CMF Buds 2 ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่นการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ หรือในสำนักงานที่มีเสียงรบกวนไม่มาก
นอกจากนี้ ประสิทธิภาพของโหมด Transparency ก็ไม่โดดเด่นด้วยเช่นกัน เสียงที่ได้ยินเป็นธรรมชาติแต่ค่อนข้างเงียบ ทำให้ยากที่จะรับรู้ว่าเปิดใช้งานโหมดนี้อยู่หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อกำลังเล่นเพลงอยู่ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้งานพลาดการรับรู้สภาพแวดล้อมที่สำคัญ

แบตเตอรี่ ฟังได้ยาวนานและมีชาร์จเร็ว
เรื่องการใช้งานของแบตเตอรี่ CMF Buds 2 ทำได้ในระดับที่ดีมาก โดยที่การใช้งานเมื่อปิด ANC หูฟังสามารถใช้งานได้นานถึง 13.5 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และถ้าใช้รวมกับเคสชาร์จ ก็สามารถใช้งานรวมกันได้สูงสุดถึง 55 ชั่วโมง
ด้วยอายุการใช้งานนานขนาดนี้ เพียงพอต่อการใช้งานได้เต็มสัปดาห์โดยไม่ต้องห่วงเรื่องการชาร์จเคสบ่อยๆ หรือแม้ว่าจะเปิดใช้ ANC หูฟังก็ยังคงใช้งานได้นานถึง 7.5 ชั่วโมง และเมื่อรวมกับเคสชาร์จจะใช้งานได้รวม 32 ชั่วโมง ซึ่งยังคงเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเช่นกัน
นอกจากนี้ CMF Buds 2 รองรับการชาร์จเร็ว โดยการใส่หูฟังเก็บเข้าเคสเพื่อชาร์จเพียง 10 นาที ก็สามารถได้พลังงานเพื่อใช้งานได้นานถึง 2.4 ชั่วโมง แต่ว่าสำหรับตัวเคสชาร์จนั้น จะรองรับการชาร์จผ่านพอร์ต USB-C เท่านั้น ไม่รองรับการชาร์จแบบไร้สาย
เมื่อเทียบกับหูฟังแบรนด์อื่นๆ ที่อยู่ในระดับนี้ มักจะใช้งานได้เพียง 4-6 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้งเท่านั้น ทำให้คุณสมบัติแบตเตอรี่ของ CMF Buds 2 ถือเป็นจุดแข็งที่ตอบโจทย์การใช้งาน ที่ให้อิสระการใช้งานโดยไม่ต้องกังวล
ฟีเจอร์ครบครันผ่านแอป Nothing X


การควบคุมหูฟัง CMF Buds 2 เป็นแบบระบบสัมผัส ซึ่งสามารถปรับแต่งได้อย่างละเอียดผ่านแอป Nothing X โดยกำหนดให้ต้องใช้การแตะสองครั้ง (Double tap), แตะสามครั้ง (Triple tap) หรือแตะค้างไว้ (Tap-and-hold) สำหรับการสั่งงานต่างๆ ผู้ใช้ยังสามารถตั้งค่าการแตะค้างไว้หรือแตะสองครั้งค้างไว้เพื่อเรียกใช้งาน Voice Assistant ได้อย่างสะดวก
และมีเพิ่มเติมเที่เลือกปรับตั้งการควบคุม ให้แตะเพื่อเรียกผู้ช่วยเสียงของ ChatGPT เพื่อพูดคุยสนทนากับ AI ได้ทันทีผ่านหูฟังโดยไม่ต้องไปกดผ่านสมาร์ตโฟน เป็นอีกฟีเจอร์ที่สะดวกในยุค AI แต่ก็มีข้อจำกัดคือใช้ได้เฉพาะกับสมาร์ทโฟนของ CMF และ Nothing เท่านั้น
ฟีเจอร์เสริมที่น่าสนใจ
- รองรับ Spatial Audio Effect เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มมิติของเสียง ให้ดูโอบล้อมมากขึ้น แต่จากที่เราทดสอบก็รู้สึกว่ายังไม่ได้โดดเด่นหรือให้ความรู้สึกที่สมจริงมากนัก บางทีแอบรู้สึกว่ามิติของเสียงถูกเปลี่ยนไปจนรู้สึกไม่โอเคเท่าไร
- หูฟังจะหยุดเล่นเพลงโดยอัตโนมัติเมื่อถอดออกจากหูและเล่นต่อเมื่อใส่กลับเข้าไป ซึ่งเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน เป็นฟีเจอร์ที่หูฟังรุ่นประหยัดส่วนใหญ่ไม่ให้มา แต่ในรุ่นนี้มีมาให้
- รองรับ Dual Connection (การเชื่อมต่อสองอุปกรณ์พร้อมกัน) ผ่าน Bluetooth v5.4 ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสลับการใช้งานระหว่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตหรือคอมพิวเตอร์ได้อย่างราบรื่น

- โหมด Ultra Bass ช่วยเร่งเสียงเบสให้หนักขึ้นได้อีก 4 ระดับ ส่วนตัวหลังจากที่ลอง รู้สึกว่าถ้าปรับมากกว่าระดับ 2 ขึ้นไป เสียงเบสจะบวมจนกลบรายละเอียดอื่นๆ มากจนเกินไป
- มาตรฐานการกันน้ำ IP55 สำหรับหูฟัง (กันละอองน้ำและฝุ่น) และ IPX2 สำหรับเคส (กันละอองน้ำเล็กน้อย) ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและการออกกำลังกายเบาๆ ได้
สรุป รีวิว CMF Buds 2 หูฟังงบ 2 ใบเทามีทอน เหมาะสำหรับใคร
CMF Buds 2 กับงบประมาณค่าตัวระดับนี้ ถือว่าโดดเด่นด้วยคุณภาพเสียงที่ทรงพลัง โดยเฉพาะเสียงเบสที่หนักแน่นและเสียงกลางที่เต็มอิ่ม ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบสำหรับเพลง Pop และแนวเพลงยอดนิยม แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานเป็นพิเศษ (สูงสุด 55 ชั่วโมง) ก็เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่สำคัญ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จบ่อย ตัวไมโครโฟนคุณภาพดีสำหรับการโทรศัพท์ และดีไซน์เคสชาร์จที่ดูเรียบง่ายแต่ก็เป็นเอกลักษณ์ที่เพิ่มความน่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม CMF Buds 2 ก็มีข้อสังเกตบางประการ ในส่วนของดีไซน์หูฟังเองอาจไม่โดดเด่น ประสิทธิภาพของ ANC อยู่ในระดับปานกลางและถูกจำกัดด้วยคุณภาพของจุกหูฟังที่ให้มา ซึ่งอาจต้องพิจารณาเปลี่ยนจุกหูฟังเพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น สวนโหมด Transparency ก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
โดยรวมแล้ว CMF Buds 2 มอบประสบการณ์เสียงที่น่าประทับใจและฟีเจอร์ที่จำเป็นในราคาที่แข่งขันได้ ทำให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าอย่างยิ่งในตลาด True Wireless โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพเสียงและแบตเตอรี่ หูฟังรุ่นนี้เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาหูฟัง True Wireless ที่เน้นคุณภาพเสียง โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบเสียงเบสที่หนักแน่นและเสียงกลางที่ชัดเจน
สำหรับผู้ที่สนใจ CMF Buds 2 ขอแนะนำให้ไปลองฟังของจริงที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย เพราะการได้ฟังเสียงจริงและทดสอบความสบายในการสวมใส่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าหูฟังรุ่นนี้จะถูกใจสไตล์การฟังเพลงของคุณหรือไม่ เพราะสุดท้ายแล้วการเลือกหูฟังที่ดีที่สุดคือการเลือกที่ตรงกับความต้องการและรสนิยมส่วนบุคคลของแต่ละคน

ข้อมูลราคาจำหน่ายในประเทศไทย
CMF Buds 2 มีราคาจำหน่ายในประเทศไทยอยู่ที่ 1,899 บาท มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ เทาเข้ม / เขียวอ่อน / ส้ม หาซื้อได้ทั้งช่องทางออนไลน์ และร้านค้า
ช่องทางออนไลน์:
ร้านค้าที่วางจำหน่าย:
- Nothing Store ที่ TECHHOUSE by Dotlife ชั้น 2 ศูนย์การค้า One Bangkok
- JayMart
- AIS
- Dotlife
- BaNANA
- Powermall
- Munkong
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok

