มาพบกับ รีวิว HUAWEI FreeBuds 6 หูฟังไร้สายดีไซน์แบบ Open-fit ANC 3.0 ให้เสียงที่ดีใส่แล้วไม่อึดอัด พร้อมความสบายในการใช้งานตลอดทั้งวัน
หากใครเคยคิดว่าหูฟังไร้สายมีแค่สองทางเลือกใหญ่ๆ คือ “หูฟัง In-ear ที่ให้เสียงดี แต่อึดอัด” หรือ “หูฟัง Open-ear ที่สบาย แต่เสียงพอใช้” HUAWEI FreeBuds 6 กำลังพยายามเขียนกฎใหม่ให้ตลาดหูฟัง
FreeBuds 6 ไม่ได้เป็นแค่การอัปเกรดธรรมดาจากรุ่นก่อน แต่เป็นการตั้งคำถามใหญ่ว่า “ทำไมเราต้องเลือกระหว่างความสบายกับคุณภาพเสียง?” ด้วยการออกแบบ Open-fit แบบใหม่ที่วางตัวระหว่างใบหูด้านนอก พร้อมระบบ Dual Driver และการรองรับเสียง Hi-Res
สิ่งที่น่าสนใจคือ Huawei กล้าท้าดีกับสิ่งที่ผู้คนเชื่อมาตลอด โดยพยายามนำเอาเทคโนโลยีระดับพรีเมียมมาใส่ในหูฟังที่ไม่ได้อุดหูอย่างสมบูรณ์ แต่แลกมากับการสร้างสมดุลระหว่างการได้ยินเสียงเพลงอย่างคมชัดและการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว
แต่การท้าทายกฎเหล็กของตลาดหูฟังไม่ใช่เรื่องง่าย คำถามคือ FreeBuds 6 จะพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าเราไม่ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง และใครคือคนที่ควรให้โอกาสกับการทดลองครั้งนี้
ดีไซน์โค้งมนที่ช่วยให้สวมได้สบาย


เมื่อเปิดกล่อง FreeBuds 6 สิ่งแรกที่สังเกตได้คือเคสชาร์จที่ยังคงดีไซน์แบบโค้งมนไร้รอยต่อ เป็นทรงเหมือนก้อนหินขัดเงาที่ดูสวยงาม ให้ความรู้สึกพรีเมียมและถนัดมือ กลไกฝาพับเป็นแม่เหล็กแน่นหนาพอดี ไม่หลวมไม่แข็งเกินไป

ตัวหูฟังตัวจริงโดดเด่นด้วยทรง “หยดน้ำ” ที่ Huawei บอกว่าได้มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลรูปทรงหูมนุษย์กว่า 10 ล้านตัวอย่าง ผลลัพธ์ที่ได้คือหูฟังที่เล็กลง 12% และเบาลง 9% จากรุ่นก่อน แต่ที่สำคัญกว่าคือความรู้สึกเมื่อสวมใส่
การออกแบบ Open-fit หมายความว่าตัวหูฟังจะวางอยู่บริเวณระหว่างส่วนที่ยื่นออกมาของใบหู แทนที่จะสอดเข้าไปในช่องหู เมื่อสวมใส่จริงจะรู้สึกเหมือนหูฟัง “ลอย” อยู่เหนือหู ไม่มีแรงกดทับหรือความรู้สึกอึดอัด
ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือสามารถใส่ทำงานได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกเมื่อยหู แต่ข้อควรระวังคือความกระชับอาจไม่เพียงพอสำหรับกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง เช่น วิ่ง หรือออกกำลังกายหนัก
สำหรับมาตรฐานการกันน้ำ FreeBuds 6 ได้รับการรับรอง IP54 แต่ครอบคลุมเฉพาะตัวหูฟังเท่านั้น ไม่รวมเคสชาร์จ ซึ่งหมายความว่าป้องกันฝุ่นและละอองน้ำได้ แต่ไม่ควรเอาไปแช่น้ำ
เทคโนโลยี Dual Driver ให้เสียงไม่เหมือนใคร

FreeBuds 6 มีความแตกต่างจากหูฟัง Open-fit ทั่วไปอยู่ที่ระบบ Dual Driver ที่ออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว
ไดรเวอร์ตัวแรกคือ UHF planar diaphragm ที่รับผิดชอบเสียงแหลม (Treble) สามารถตอบสนองความถี่ได้สูงถึง 48,000 Hz ตัวเลขนี้อาจดูเกินความจำเป็น เพราะหูคนทั่วไปได้ยินแค่ 20-20,000 Hz แต่การที่ไดรเวอร์สามารถทำงานได้กว้างกว่าช่วงการได้ยินของมนุษย์ ช่วยให้สร้างบรรยากาศและโทนที่ละเอียดอ่อนได้ดีขึ้น ทำให้เสียงที่ได้ยินมีมิติและความสมจริงมากขึ้น
ไดรเวอร์ตัวที่สองคือ ไดรเวอร์ไดนามิกแม่เหล็กคู่ ที่ดูแลเสียงเบส (Bass) สามารถลงลึกได้ถึง 14 Hz และทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Bass Turbo ของ Huawei เพื่อเสริมพลังเสียงเบสให้หนักแน่นและมีมิติ
แต่การมี Dual Driver ในหูฟัง Open-fit ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีโอกาสที่เสียงจะรั่วไหลออกไปข้างนอกได้ง่ายกว่าหูฟัง In-ear Huawei จึงแก้ปัญหานี้ด้วยการปรับจูนระบบให้เสียงเบสและเสียงกลางทำงานร่วมกันอย่างสมดุล
ผลลัพธ์ที่ได้คือเสียงที่มีลักษณะ “เน้นแหลมเล็กน้อย” ซึ่งช่วยให้รายละเอียดในเพลงโดดเด่นขึ้น แต่ไม่แหลมจนฟังเมื่อย เสียงเบสแม้จะไม่หนักหน่วงเหมือนหูฟัง In-ear แต่ก็มีน้ำหนักและความชัดเจนเพียงพอ

สำหรับการรองรับ Hi-Res Audio Wireless FreeBuds 6 สามารถทำงานกับ Codec หลายรูปแบบ คือ:
- L2HC 4.0: Codec เฉพาะของ Huawei ที่ส่งข้อมูลได้สูงสุด 2.3 Mbps แต่ใช้ได้เฉพาะกับอุปกรณ์ Huawei ที่มี EMUI 15 ขึ้นไป
- LDAC: สำหรับ Android ที่รองรับ ส่งข้อมูลได้สูงสุด 990 kbps
- AAC: สำหรับ iPhone และอุปกรณ์อื่นๆ ทั่วไป
การที่มี Codec หลากหลายทำให้ FreeBuds 6 ใช้งานได้กับอุปกรณ์ได้กว้างขวาง ซึ่งใช้งานได้ทั้งกับ Android, iOS และ Windows แต่จะได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับระบบนิเวศของ Huawei
Open-fit ANC ไม่ได้เงียบสงัดแต่รู้สึกผ่อนคลาย
หนึ่งในคำถามใหญ่ของหูฟัง Open-fit คือ “แล้วเรื่องตัดเสียงรบกวนล่ะ?” เพราะหูฟังที่ไม่ได้อุดหูจะตัดเสียงรบกวนได้ดีแค่ไหนกัน
Open-fit ANC 3.0 ของ FreeBuds 6 ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างโลกเงียบสนิทเหมือนหูฟัง In-ear แต่เป็นระบบ “Adaptive” ที่มุ่งเน้นการลดเสียงรบกวนความถี่ต่ำที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น เสียงหึ่งๆ ของเครื่องปรับอากาศ เสียงพัดลม หรือเสียงการจราจรบนท้องถนน
ในขณะเดียวกัน ระบบจะปล่อยให้เสียงความถี่สูงที่สำคัญผ่านเข้ามาได้ เช่น เสียงประกาศ เสียงเรียกของเพื่อนร่วมงาน หรือเสียงรถที่เข้ามาใกล้
นี่คือความแตกต่างพื้นฐานระหว่าง ANC แบบดั้งเดิมที่ต้องการ “กำจัด” เสียงรบกวน กับ Open-fit ANC ที่ต้องการ “ลดทอน” เสียงที่น่ารำคาญ
จากการใช้งานจริง Open-fit ANC สามารถลดเสียงพัดลมและเสียงจอแจต่างๆ ได้อย่างรู้สึกได้ แต่อย่าไปคาดหวังให้ได้ความเงียบเหมือนหูฟัง ANC ระดับท็อป สิ่งที่ดีคือระบบไม่สร้างเสียงซ่าที่น่ารำคาญในสภาพแวดล้อมที่เงียบ ซึ่งถือเป็นการพัฒนาที่ดีขึ้นจากรุ่นก่อน
ประสิทธิภาพของ ANC จึงอยู่ในระดับ “ดีพอใช้” มากกว่า “ดีเยี่ยม” แต่มันก็ทำหน้าที่ได้ตามที่ตั้งใจไว้คือ ช่วยให้ฟังเพลงได้ชัดเจนขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวนปานกลาง โดยยังคงรักษาการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว
นี่คือข้อแลกเปลี่ยนที่ผู้ใช้ต้องเข้าใจ หากต้องการ ANC ที่เงียบเชียบ หูฟัง In-ear ยังคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่หากต้องการสมดุลระหว่างการลดเสียงรบกวนและการรับรู้สภาพแวดล้อม FreeBuds 6 ก็ตอบโจทย์ได้ดี

ประสบการณ์เสียงจริงหลังจากใช้งาน กับคาแรคเตอร์เสียงที่น่าสนใจ
หลังจากที่เราได้ลองใช้งานจริงหลายสัปดาห์ในสถานการณ์ต่างๆ สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนคือ FreeBuds 6 มีลักษณะเสียงที่ “เน้นแหลมเล็กน้อย” ซึ่งเป็นการจูนที่มีเหตุผลสำหรับหูฟัง Open-fit
เสียงแหลม (Treble) ที่โดดเด่นช่วยให้รายละเอียดในเพลงชัดเจนขึ้น เครื่องดนตรีอย่าง กีตาร์ หรือเสียงร้องฟังได้คมชัด ไม่มัวหรือแบน เมื่อฟังเพลงป็อปหรือร็อคจะรู้สึกได้ถึงความสด และมีชีวิตชีวา
เสียงกลาง (Mid) มีความสมดุลดี เสียงร้องทั้งชายและหญิงฟังธรรมชาติ ไม่แหลมจนเจ็บหู ไม่หนาจนบิดเบือน สำหรับใครที่ฟัง Podcast เป็นหลัก จะพอใจกับความชัดเจนของเสียงพูด
เสียงเบส (Bass) จุดนี้อาจจะไม่ถูกใจกับคนที่ชอบเบสแน่นๆ แม้จะมีเทคโนโลยี Bass Turbo แต่เนื่องจากลักษณะ Open-fit เสียงเบสจะไม่หนักหน่วงเหมือนหูฟัง In-ear เบสที่ได้จึงมีความชัดเจนและมีน้ำหนักพอดี เหมาะกับเพลงแนวป็อป อินดี้ หรือแจ๊ส แต่สำหรับคนที่ชอบเสียงเบสหนักๆ เช่น EDM หรือฮิปฮอป อาจรู้สึกว่าขาดความรสชาติไปอยู่บ้าง
ในเรื่องคุณภาพไมโครโฟนในการสนทนา ตัวระบบ Noise-Free Calling สามารถกรองเสียงรบกวนรอบข้างได้ดี แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง แต่อีกด้านหนึ่งคือเสียงพูดของผู้ใช้เองอาจฟังดูอู้อี้เหมือนมีหมอนมาบังปากไว้ในบางสถานการณ์
สิ่งที่เราเจอนี้น่าจะเกิดจากอัลกอรึทึมตัดเสียงรบกวนที่ทำงานมากเกินไป ในความพยายามที่จะกำจัดเสียงที่ไม่ใช่เสียงพูด จนทำให้ตัดทอนย่านความถี่บางส่วนของเสียงผู้ใช้ออกไปด้วย ส่งผลให้เสียงขาดความคมชัดไปบ้าง แต่ก็เกิดในสภาพที่เสียงดังมากๆ เท่านั้น
ดังนั้น หากการโทรเป็นการใช้งานหลัก ควรพิจารณาประเด็นนี้ให้ดี แต่สำหรับการฟังเพลงและมัลติมีเดีย FreeBuds 6 ให้ประสบการณ์ที่น่าพอใจในระดับหูฟัง Open-fit

ฟีเจอร์อัจฉริยะ: ลูกเล่นมากกว่าแค่เล่นเพลง
นอกเหนือจากคุณภาพเสียงแล้ว FreeBuds 6 ยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยยกระดับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
การเชื่อมต่อสองอุปกรณ์พร้อมกัน (Multipoint Connection) เป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์จริง สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนและแล็ปท็อปได้พร้อมกัน เมื่อมีสายเรียกเข้าที่โทรศัพท์ขณะฟังเพลงจากคอมพิวเตอร์ หูฟังจะสลับไปรับสายทันทีและกลับไปเล่นเพลงเมื่อวางสาย การทำงานราบรื่นกับทั้ง iOS, Android และ Windows
การควบคุมด้วยท่าทาง ครอบคลุมการแตะสองครั้ง สามครั้ง แตะค้าง และการลูบขึ้น-ลงเพื่อปรับระดับเสียง ทุกท่าทางสามารถปรับแต่งฟังก์ชันได้ตามความต้องการผ่านแอป HUAWEI AI Life
ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจคือ “Nod to Answer” ที่ให้ผู้ใช้สามารถรับหรือปฏิเสธสายเรียกได้ง่ายๆ เพียงแค่พยักหน้าหรือส่ายหน้า เป็นการมอบประสบการณ์แฮนด์ฟรีอย่างแท้จริง แต่ฟีเจอร์นี้จะถูกปิดไว้เป็นค่าเริ่มต้น
แอป HUAWEI AI Life ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการควบคุม ผู้ใช้สามารถตั้งค่า Equalizer, การปรับคำสั่งควบคุม, การอัปเดตเฟิร์มแวร์ และการจัดการ Multipoint Connection แต่สำหรับผู้ใช้ Android ต้องดาวน์โหลดแอปผ่านการสแกน QR Code ข้างกล่อง เนื่องจากไม่มีให้โหลดผ่านทาง Google Play Store
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เสริมอย่าง Smart Volume Adjustment ที่ปรับระดับเสียงให้เหมาะสมกับเสียงรบกวนรอบข้างโดยอัตโนมัติ และ Adaptive Audio ที่ปรับแต่งเสียงให้เข้ากับรูปทรงของช่องหูและลักษณะการสวมใส่ของผู้ใช้แต่ละคน

แบตเตอรี่และการชาร์จ เห็นจิ๋วๆ แต่ใช้ได้นาน
เรื่องแบตเตอรี่เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับหูฟังไร้สาย ข้อมูลอย่างเป็นทางการจาก Huawei ระบุว่าใช้งานได้สูงสุด 6 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (เมื่อปิด ANC) และจะลดลงเหลือ 4.5 ชั่วโมงเมื่อเปิด ANC เมื่อรวมกับเคสชาร์จจะใช้งานได้ยาวนานถึง 36 ชั่วโมง
จากการทดสอบพบว่าหูฟังสามารถใช้งานได้ “เกือบห้าชั่วโมง” ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับข้อมูลที่หัวเว่ยบอกมา
จุดเด่นที่สำคัญคือเทคโนโลยีการชาร์จเร็ว สามารถชาร์จเพียง 5 นาทีเพื่อให้ได้พลังงานกลับมาใช้งานฟังเพลงได้นานถึง 2.5 ชั่วโมง ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งในสถานการณ์เร่งด่วน รวมถึงฟีเจอร์ Smart Charging จะเรียนรู้พฤติกรรมการชาร์จของผู้ใช้และจัดการขีดจำกัดการชาร์จให้เหมาะสม เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานโดยรวมของแบตเตอรี่ได้ถึง 37%
ข้อจำกัดที่ควรรู้ กับ Huawei Ecosystem
นี่คือส่วนสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อ FreeBuds 6 ที่แม้ว่าจะสามารถใช้งานได้กับอุปกรณ์หลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้ง Android, iOS, Mac และ Windows แต่ศักยภาพที่แท้จริงและฟีเจอร์ขั้นสูงหลายอย่างจะใช้ได้เฉพาะกับอุปกรณ์ในระบบนิเวศของ Huawei เท่านั้น
ฟีเจอร์พิเศษที่ถูกจำกัด:
- Lossless Audio (L2HC 4.0): การส่งสัญญาณเสียงคุณภาพสูงสุดที่อัตราบิตเรต 2.3 Mbps ใช้ได้เฉพาะกับอุปกรณ์ Huawei ที่มี EMUI 15 หรือ HarmonyOS รุ่นใหม่
- Spatial Audio: ประสบการณ์เสียงสามมิติที่สมจริงและติดตามการเคลื่อนไหวของศีรษะ
- HD Microphone Recording: ความสามารถในการใช้ไมโครโฟนของหูฟังเพื่อบันทึกเสียงคุณภาพสูง
- Seamless Pop-up Pairing: หน้าต่าง Pop-up ที่ปรากฏขึ้นมาเพื่อการเชื่อมต่อที่รวดเร็วและง่ายดาย
ดังนั้นถ้าคุณใช้สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตของ Huawei หรือกำลังจะซื้อ FreeBuds 6 คือหูฟังที่สมบูรณ์แบบที่ให้ประสบการณ์เสียงที่ดีเยี่ยม แต่สำหรับผู้ใช้แพลตฟอร์มอื่น จะได้รับประสบการณ์หูฟัง LDAC ระดับพรีเมียมที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่ใช่สมบูรณ์แบบที่สุดในทุกฟังก์ชัน

สรุป รีวิว HUAWEI FreeBuds 6 หูฟังทรงเก๋ เหมาะกับใครบ้าง?
HUAWEI FreeBuds 6 ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นหูฟัง Open-fit ที่มีความซับซ้อนและเปี่ยมด้วยศักยภาพ แต่ก็มาพร้อมกับเงื่อนไขบางประการที่คุณต้องพิจารณาด้วยเช่นกัน
จุดแข็งที่โดดเด่น
- ความสบายที่เหนือกว่า การออกแบบ Open-fit และวัสดุคุณภาพสูงทำให้สวมใส่สบายเป็นพิเศษแม้ใช้งานต่อเนื่องยาวนาน
- ดีไซน์และงานประกอบระดับพรีเมียม มีความสวยงามโดดเด่นและให้ความรู้สึกหรูหรา
- คุณภาพเสียงที่ดี ให้เสียงโดยรวมที่สมดุลพร้อมเสียงแหลมที่คมชัดและมีรายละเอียดสูง เหมาะกับคอนเทนต์หลากหลายประเภท
- การชาร์จที่รวดเร็ว ชาร์จเพียง 5 นาทีใช้งานได้ถึง 2.5 ชั่วโมง ซึ่งสะดวกอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน
- ฟีเจอร์อัจฉริยะครบครัน การเชื่อมต่อสองอุปกรณ์, การควบคุมด้วยท่าทาง และการปรับแต่งผ่านแอป ช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้งาน
ข้อควรพิจารณา
- ANC ที่ไม่ได้เงียบสงัด ระบบ Open-fit ANC เหมาะสำหรับการลดเสียงรบกวนความถี่ต่ำแต่ไม่สามารถสร้างความเงียบได้เท่าหูฟัง In-ear ผู้ที่ต้องการการตัดเสียงรบกวนสูงสุดอาจไม่พอใจ
- คุณภาพไมโครโฟน แม้จะกรองเสียงรบกวนได้ดีแต่คุณภาพเสียงพูดของผู้ใช้อาจฟังดูอู้อี้ในบางสถานการณ์
- ศักยภาพสูงสุดถูกจำกัดใน Ecosystem ฟีเจอร์ที่ดีที่สุด เช่น เสียง Lossless และ Spatial Audio สามารถใช้งานได้เฉพาะกับอุปกรณ์ Huawei เท่านั้น
สรุปแล้ว FreeBuds 6 เหมาะสำหรับใครบ้าง?
- ผู้ใช้งานในระบบนิเวศ Huawei – หากคุณใช้สมาร์ตโฟน Huawei รุ่นเรือธงอยู่แล้ว FreeBuds 6 คือหูฟังที่สมบูรณ์แบบที่จะปลดล็อกประสบการณ์เสียงที่เหนือกว่าและผสานเป็นหนึ่งเดียวกับอุปกรณ์ของคุณ
- ผู้ที่มองหาความสบายสูงสุด – สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าหูฟัง In-ear ไม่สบายเมื่อต้องใส่ทำงานตลอดทั้งวัน และให้ความสำคัญกับความสบายในการสวมใส่เหนือสิ่งอื่นใด
- ผู้ที่ชื่นชอบดีไซน์ไม่เหมือนใคร – สำหรับผู้ที่ชื่นชมในความสวยงามของดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์และต้องการหูฟังที่มีคุณภาพเสียงดี ฟีเจอร์ครบครัน และดูโดดเด่น
- ผู้ที่ต้องการหูฟังที่ัยังได้ยินเสียงรอบข้าง – เหมาะสำหรับคนที่ต้องเดินทางในเมือง, นักวิ่ง หรือพนักงานออฟฟิศที่จำเป็นต้องได้ยินเสียงสภาพแวดล้อมรอบตัวเพื่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการสื่อสาร
ราคาและการวางจำหน่าย

HUAWEI FreeBuds 6 เปิดตัวในประเทศไทยด้วยราคาอย่างเป็นทางการที่ 4,990 บาท โดยในช่วงเปิดตัว (7 กรกฎาคม – 6 สิงหาคม 2568) มีโปรโมชันพิเศษราคา 3,999 บาท พร้อมของแถม HUAWEI 1 Year Loss Care มูลค่า 499 บาท และร่ม มูลค่า 490 บาท
หูฟังมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีดำ, สีขาว, และสีม่วง จำหน่ายผ่านช่องทาง HUAWEI Store และร้านค้าอย่างเป็นทางการบนแพลตฟอร์ม Lazada, Shopee และ TikTok Shop
FreeBuds 6 อาจไม่ใช่หูฟังสำหรับทุกคน แต่เป็นหูฟังที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่มได้อย่างดีเยี่ยม หากคุณอยู่ในกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม นี่คือหูฟัง Open-fit ที่ดีที่สุดตัวหนึ่งในตลาดปัจจุบัน แต่หากไม่แน่ใจ ลองไปทดสอบฟังที่ร้านค้าก่อนตัดสินใจว่าจะใช่แบบที่คุณชอบหรือเปล่า
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
