Apple กำลังเตรียมพัฒนาเทคโนโลยีการชาร์จไร้สายให้แรงขึ้นอย่างมาก หลังจากพบเอกสารขอรับรองจากไต้หวันที่เผยให้เห็น MagSafe Charger รุ่นใหม่ที่รองรับมาตรฐาน Qi 2.2 ซึ่งสามารถชาร์จได้สูงสุด 50W เทียบกับมาตรฐาน Qi 2 ปัจจุบันที่ชาร์จได้เพียง 15W เท่านั้น
เว็บไซต์ 91mobiles.com เป็นแหล่งแรกที่ค้นพบเอกสารรับรองจากหน่วยงาน NCC ของไต้หวัน เผยให้เห็น MagSafe Charger รุ่นใหม่ 2 โมเดล คือ A3503 และ A3502 ที่มาพร้อมกับสายชาร์จถักความยาว 2 เมตร และ 1 เมตร ตามลำดับ โดยยังคงใช้ดีไซน์แผ่นกลมสีขาวที่คุ้นเคยเหมือนเดิม
ความพิเศษของมาตรฐาน Qi 2.2 นี้ไม่ได้อยู่ที่ความเร็วในการชาร์จอย่างเดียว แต่ยังปรับปรุงการจัดตำแหน่งแม่เหล็กและประสิทธิภาพการชาร์จให้ดีขึ้นด้วย ทั้งยังคงความเข้ากันได้แบบย้อนหลังกับอุปกรณ์ชาร์จ Qi รุ่นเก่า
จากเอกสารการทดสอบพบว่าอุปกรณ์ชาร์จใหม่นี้สามารถทำงานร่วมกับ iPhone ได้ตั้งแต่รุ่น iPhone 11 ถึง iPhone 16 แสดงให้เห็นว่าจะมีความเข้ากันได้กว้างขวางกับอุปกรณ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ความเร็วในการชาร์จจะถูกจำกัดเมื่อใช้กับรุ่นเก่า เนื่องจากอุปกรณ์ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากความเร็วการชาร์จสูงสุดจะต้องมีชิปการชาร์จขั้นสูง คล้ายกับ Power Management Integrated Circuit (PMIC) ของ Samsung
สำหรับ iPhone 16 ในปัจจุบัน รองรับการชาร์จ MagSafe ที่ปรับปรุงแล้วโดยสามารถชาร์จได้สูงสุด 25W เมื่อใช้อะแดปเตอร์ 30W ซึ่งเร็วกว่า iPhone รุ่นก่อนหน้าที่จำกัดอยู่ที่ 15W

การปรากฏของอุปกรณ์เหล่านี้ในฐานข้อมูลการรับรองของไต้หวันบ่งชี้ว่าเราน่าจะได้เห็นการเปิดตัวต่อสาธารณะในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ยิ่งไปกว่านั้น ยังเพิ่มโอกาสที่ iPhone 17 รุ่นใหม่จะรองรับมาตรฐานการชาร์จใหม่นี้ แต่ทั้งนี้ Apple ยังไม่ได้รับรองว่าจะชาร์จได้เต็มกำลัง 50W หรือไม่
คาดว่า Apple จะประกาศ iPhone 17 รุ่นใหม่ในช่วงเดือนกันยายน ขณะที่อุตสาหกรรมโดยรวมคาดว่าจะเปิดตัวสมาร์ตโฟน อุปกรณ์ชาร์จ และอุปกรณ์เสริมที่รองรับ Qi 2.2 ในช่วงปลายปีนี้
แม้ว่า Apple จะยังไม่ได้ประกาศอุปกรณ์ใหม่เหล่านี้อย่างเป็นทางการ แต่การปรากฏในฐานข้อมูลการรับรองแสดงให้เห็นถึงทิศทางของบริษัทในการพัฒนาเทคโนโลยีการชาร์จไร้สายให้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ iPhone อย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลจาก: MacRumors
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
