เครื่องเป่าผมรุ่นล่าสุดจาก Dyson มาถึงประเทศไทยแล้ว กับ Dyson Supersonic r ที่มาพร้อมเทคโนโลยีการเป่าผมที่ล้ำสมัย น้ำหนักเบาลง แต่ทรงพลังกว่าเดิม
งาน Exclusive Preview ได้จัดขึ้นที่ Roof Hair Salon สาขาสยามสแควร์ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีสไตล์ลิสต์มาสาธิตการใช้งานและโชว์เทคโนโลยีการเป่าผมที่รวดเร็วและทรงพลัง
ปฏิวัติการออกแบบด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ
Dyson Supersonic r มาพร้อมมอเตอร์ที่หมุนด้วยความเร็ว 110,000 รอบต่อนาทีที่ติดตั้งอยู่ภายในตัวเครื่อง ทำให้ได้ขนาดที่เล็กลง 30% และน้ำหนักลดลง 20% เมื่อเทียบกับ Dyson Supersonic รุ่นเดิม
ที่น่าประทับใจคือน้ำหนักของเครื่องเป่าผมรุ่นนี้เหลือเพียง 325 กรัมเท่านั้น ทำให้การใช้งานในแต่ละวันไม่เมื่อยล้า แม้จะต้องใช้เวลานาน
นวัตกรรมที่โดดเด่นคือชิป RFID อัจฉริยะที่จะสื่อสารจากภายในหัวต่อเพื่อปรับให้เข้ากับการตั้งค่าใช้งานล่าสุดของผู้ใช้โดยทันทีในทุกครั้งที่ใช้งาน

หัวเป่าใหม่ 5 แบบ ตอบทุกโจทย์การเป่าผม
Dyson Supersonic r มาพร้อมหัวเป่าที่ออกแบบมาเฉพาะเจาะจง 5 แบบ เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกัน
- หัวเป่าลมที่ทรงพลัง สร้างลมความเร็วสูงที่จะทำให้การเป่าแห้งเร็วยิ่งขึ้น เหมาะกับคนที่มีไลฟ์สไตล์แบบฉับไวและต้องรีบออกจากบ้าน
- หัวเป่าจัดแต่งทรงแบบมืออาชีพ ออกแบบมาเพื่อให้กระแสลมที่โฟกัส ใช้สำหรับจัดทรง โดยเฉพาะผมตรงและยกโคน ให้ผลลัพธ์ระดับซาลอนได้ที่บ้าน
- หัวเป่าลมอ่อนโยน กระจายลมอย่างสม่ำเสมอ สร้างกระแสลมนุ่มนวลที่อ่อนโยนต่อหนังศีรษะ เหมาะกับผู้ที่มีหนังศีรษะบอบบางหรือแพ้ง่าย
- หัวเป่าลดผมชี้ฟู เป็นหัวเป่าที่ดึงพลังของเอฟเฟ็กต์ Coanda มาใช้ในการซ่อนลูกผม ทำให้ได้ Finish Look ที่เรียบหรูเนี้ยบ พร้อมออกงานได้ทันที
- หัวสำหรับเป่าเรียบ ปล่อยไอออนในกระแสลมได้มากขึ้น ช่วยลดผมชี้ฟูลงได้ถึง 46% ทำให้ผมดูเรียบลื่นเป็นธรรมชาติ
หัวเป่าทุกหัวมีการตั้งค่าล่วงหน้าโดยสไตล์ลิสต์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ผู้ใช้ยังสามารถปรับเองตามการใช้งานที่เหมาะสมเพื่อให้ตรงตามสไตล์ที่ต้องการ

เปิดให้พรีออเดอร์แล้ววันนี้
Dyson Supersonic r เปิดให้พรีออเดอร์ผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ dyson.co.th แล้ววันนี้ ในราคา 19,900 บาท
ผู้สนใจสามารถเลือกได้ 2 สีคือ สีเซรามิกพิงค์/โรสโกลด์ และสีม่วงแจสเปอร์พลัม ทั้งสองสีต่างก็มีความสวยงามและเข้ากับไลฟ์สไตล์สมัยใหม่
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
