การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในงาน WWDC 2025 ของ Apple ได้เผยโฉมภาษาการออกแบบใหม่ “Liquid Glass” ที่พลิกโฉมอินเทอร์เฟซผู้ใช้ทั่วทั้งระบบนิเวศ พร้อมกับการปรับเปลี่ยนระบบการตั้งชื่อเวอร์ชันของระบบปฏิบัติการทั้งหมดให้สอดคล้องตามปี เพื่อสร้างประสบการณ์ที่กลมกลืนและเข้าใจง่ายยิ่งขึ้นสำหรับผู้ใช้งานทั่วโลก
ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณถึงระบบปฏิบัติการยุคใหม่ของ Apple ที่มุ่งเน้นการผสานรวมความสวยงามเข้ากับปัญญาประดิษฐ์อย่างลึกซึ้ง โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการใช้งานในทุกอุปกรณ์ให้ราบรื่นและน่าประทับใจกว่าที่เคย

“Liquid Glass” นิยามใหม่อินเทอร์เฟซของ Apple
ในงาน WWDC 2025 สิ่งแรกที่แอปเปิลนำเสนอก็คือ “Liquid Glass” ซึ่งเป็นภาษาการออกแบบใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก visionOS ถือเป็นการยกเครื่องรูปลักษณ์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ นับตั้งแต่ iOS 7 ในปี 2013
แนวคิดนี้เน้นความโปร่งแสง การสะท้อน และการหักเหของแสง คล้ายกับคุณสมบัติของกระจก พร้อมความสามารถในการปรับเปลี่ยนรูปร่างแบบไดนามิกคล้ายของเหลว การออกแบบนี้ไม่ได้เป็นเพียงความสวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เนื้อหาโดดเด่นยิ่งขึ้น และผู้ใช้สามารถเห็นข้อมูลได้มากขึ้น ลดความซับซ้อนของอินเทอร์เฟซ และเตรียมพร้อมสำหรับประสบการณ์การใช้งานที่จะมีเพิ่มเติมในอนาคต

“Liquid Glass” ถูกนำมาใช้กับองค์ประกอบส่วนต่อประสานผู้ใช้ (UI) หลากหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นไอคอนแอปที่มาพร้อมรูปลักษณ์โปร่งใสและปรับเปลี่ยนได้ตามโหมดสว่างหรือมืด วิดเจ็ตที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้เป็นแผงกระจกโค้งมนลอยอยู่เหนือพื้นหลัง แถบเครื่องมือและการนำทางที่โปร่งใสและสามารถย่อขนาดลงเพื่อเน้นเนื้อหาหลัก รวมถึงการแจ้งเตือนที่ปรากฏเป็นแผงกระจกบนหน้าจอหลัก
ในส่วนของ macOS แถบเมนูด้านบนถูกเปลี่ยนให้โปร่งใสอย่างสมบูรณ์ ทำให้หน้าจอรู้สึกกว้างขึ้น และศูนย์ควบคุมก็ได้รับการปรับปรุงด้วยไอคอนโปร่งแสงเช่นกัน หรือแม้แต่หน้าปัดนาฬิกาบน watchOS ก็ยังแสดงเวลาในรูปแบบ Liquid Glass ที่สวยงาม ทำให้มองเห็นภาพถ่ายได้มากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Apple ในการสร้างประสบการณ์ที่สอดคล้องและเป็นหนึ่งเดียวกันในทุกแพลตฟอร์ม

ยุคใหม่ของการตั้งชื่อ ทุกระบบปฏิบัติการ Apple จะใช้ตัวเลขตามปี
เพื่อสร้างความสอดคล้องและลดความสับสน Apple ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโครงการตั้งชื่อระบบปฏิบัติการหลักทั้งหมด โดยเปลี่ยนจากการใช้หมายเลขลำดับที่ก่อนหน้านี้แต่ละระบบนั้นมีเลขเวอร์ชั่นที่แตกต่างกัน อย่างเช่น iOS 19, watchOS 10 ฯลฯ
โดยที่จากนี้ไป Apple จะใช้ชื่อเวอร์ชันที่อิงตามปี เช่น iOS 26, macOS Tahoe 26, iPadOS 26, watchOS 26 และ tvOS 26 เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจเวอร์ชันปัจจุบันได้ง่ายขึ้น และส่งสัญญาณถึงวงจรการอัปเดตประจำปีที่สอดคล้องกัน
การปรับเปลี่ยนของ Apple ในครั้งนี้ จึงเป็นมากกว่าการเปลี่ยนแปลงด้านความสวยงาม แต่เป็นสัญญาณเชิงกลยุทธ์ที่ทรงพลังที่เน้นย้ำถึงการเชื่อมโยงถึงกันและการวิวัฒนาการพร้อมกันของระบบนิเวศทั้งหมดของ Apple การจัดเรียงชื่อ OS ทั้งหมดให้ตรงกับปีเดียวกัน Apple กำลังเน้นย้ำโดยปริยายถึงความเชื่อมโยงกันและการพัฒนาพร้อมกันของระบบนิเวศทั้งหมด ซึ่งทำให้การตลาดง่ายขึ้น ลดความสับสนของผู้ใช้เกี่ยวกับเวอร์ชันปัจจุบัน
และที่สำคัญกว่านั้นคือ ตอกย้ำแนวคิดที่ว่าคุณสมบัติและประสบการณ์ต่างๆ ได้รับการออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นในอุปกรณ์ Apple ทั้งหมด แทนที่จะถูกแยกส่วนตามเวอร์ชัน OS แต่ละรายการ ซึ่งเป็นการเตรียมผู้ใช้สำหรับอนาคตที่ความแตกต่างระหว่าง “คุณสมบัติ iPhone” และ “คุณสมบัติ Mac” จะลดลง โดยมุ่งเน้นไปที่ “ประสบการณ์ Apple” โดยรวม

การอัปเดตและอุปกรณ์ที่รองรับ
สำหรับผู้ใช้งาน iPhone ในประเทศไทยและทั่วโลก iOS 26 จะสามารถติดตั้งได้บน iPhone 11 หรือรุ่นที่ใหม่กว่า รวมถึง iPhone SE รุ่นที่สอง อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติ Apple Intelligence ขั้นสูงบางอย่างจะทำงานบน iPhone 15 Pro, iPhone 15 Pro Max, รุ่นในอนาคต รวมถึง iPad และ Mac ที่เข้ากันได้เท่านั้น ซึ่งบ่งชี้ว่า Apple กำลังแบ่งกลุ่มผู้ใช้ตามความสามารถของฮาร์ดแวร์ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณสมบัติ AI ที่ล้ำหน้าจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพบนอุปกรณ์ที่ใช้ชิปเซ็ตล่าสุด
สำหรับนักพัฒนาสามารถเข้าถึงคุณสมบัติของ iOS 26 ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2025 ผ่าน Apple Developer Program ส่วน Public Betas สำหรับผู้ใช้ทั่วไปจะพร้อมใช้งานในเดือนกรกฎาคม และ Apple มีแผนที่จะเปิดตัว iOS 26 และระบบปฏิบัติการอื่นๆ อย่างเป็นทางการในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งมักจะเป็นช่วงหลังงานเปิดตัว iPhone ประจำปีในเดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม การออกแบบ Liquid Glass ใน tvOS จะจำกัดเฉพาะ Apple TV 4K รุ่นที่สองและใหม่กว่าเท่านั้น
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
