ศาลการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ (Court of International Trade) ออกคำสั่งห้ามมาตรการภาษีศุลกากรแบบครอบคลุม ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยระบุว่าประธานาธิบดีใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กฎหมายอนุญาต
คำพิพากษาดังกล่าวมีผลใช้บังคับทันทีสำหรับคำสั่งภาษีศุลกากรทั้งหมดที่ ทรัมป์ ออกตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 ซึ่งอาศัยอำนาจจาก International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) โดยศาลคณะผู้พิพากษา 3 คนชี้แจงว่า รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มอบอำนาจในการควบคุมการค้าระหว่างประเทศให้แก่รัฐสภา ไม่ใช่ฝ่ายบริหาร
“ศาลไม่ได้วินิจฉัยเรื่องความเหมาะสมหรือประสิทธิผลของการใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือเจรจาของประธานาธิบดี แต่การใช้อำนาจดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตเพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจไว้” คณะผู้พิพากษาระบุในคำพิพากษา
ศาลได้สั่งให้รัฐบาล ทรัมป์ ออกคำสั่งใหม่ที่สอดคล้องกับคำพิพากษาภายใน 10 วัน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ยื่นอุทธรณ์ทันทีและตั้งคำถามเกี่ยวกับอำนาจของศาล
คำตัดสินครั้งนี้ยังครอบคลุมการหยุดภาษีนำเข้าแยกต่างหาก (separate levies) ที่รัฐบาล Trump กำหนดกับจีน เม็กซิโก และแคนาดา เพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่รัฐบาลเรียกว่า “การไหลเข้าที่ยอมรับไม่ได้ของยาเสพติดและผู้อพยพผิดกฎหมาย” (unacceptable flow of drugs and illegal immigrants)
ทว่าคำพิพากษาครั้งนี้ไม่ครอบคลุมถึงภาษีศุลกากรเฉพาะอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น รถยนต์ เหล็ก และอลูมิเนียม ที่ ทรัมป์ ใช้กฎหมายอื่นเป็นฐานในการออกมาตรการ
ตลาดการเงินตอบสนองในทางบวกต่อข่าวนี้ โดยหุ้นโลกและค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้น สะท้อนความหวังของนักลงทุนที่คาดว่าความตึงเครียดทางการค้าจะลดลง
รัฐบาล Trump ตอบโต้อย่างรวดเร็วด้วยการยื่นอุทธรณ์ภายในไม่กี่นาทีหลังคำตัดสิน โดย Kush Desai โฆษกรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแถลงว่า “ไม่ใช่หน้าที่ของผู้พิพากษาที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งจากการเลือกตั้ง (unelected judges) ในการตัดสินวิธีแก้ไขภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ”
การพิพากษาของศาลการค้าระหว่างประเทศ ทางรัฐบาลสหรัฐฯ สามารถอุทธรณ์ต่อไปยัง ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ สำหรับวงจรกลาง (U.S. Court of Appeals for the Federal Circuit) และสุดท้ายคือ ศาลฎีกาสหรัฐฯ (U.S. Supreme Court)
ภาษีศุลกากรเป็นนโยบายหลักของ ทรัมป์ ในสงครามการค้า (Trade War) ที่ดำเนินอยู่ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกระแสการค้าโลกและทำให้ตลาดการเงินผันผวน
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
