เกือบครึ่งของคนรุ่นใหม่ในประเทศไทยหันมาใช้เพลงและพอดแคสต์เป็นเครื่องมือดูแลสุขภาพและสุขภาวะทางใจ โดย Spotify ได้จัดแคมเปญ “Pause & Play” เฉลิมฉลองวิธีที่คนไทยใช้เสียงเป็นเครื่องมือในการดูแลตัวเองท่ามกลางความวุ่นวายของชีวิตประจำวัน
ข้อมูลจาก Spotify ระบุว่า เกือบ 42% ของกลุ่ม Gen Z และ 60% ของกลุ่มมิลเลนเนียลในประเทศไทยรู้สึกดีเกี่ยวกับสุขภาพจิตของตนเอง และหันมาใช้เพลงและพอดแคสต์เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลใจ ขณะที่ 41% ของผู้ฟังชาวไทยโดยรวมเลือกใช้เสียงเป็นเครื่องมือในการดูแลสุขภาวะของตนเอง
คุณปิโยรส หลักคำ Lead Editor จาก Spotify Thailand กล่าวว่า “ที่ Spotify เราพบว่า ‘เสียง’ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเพลงไทยสุดชิลล์ไว้คลายความเหนื่อยล้า หรือพอดแคสต์ที่ช่วยยกระดับความคิดและทัศนคติ นอกจากนั้นเรายังเห็นว่าคนฟังชอบที่จะแชร์เนื้อเพลงที่สะท้อนความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสุขภาวะไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นสิ่งที่คนให้ความใส่ใจกันในวงกว้าง”
เพื่อตอบรับเทรนด์ดังกล่าว Spotify ได้จัดงาน “Spotify Pause & Play” เวิร์กช็อปด้าน Wellness ครั้งแรกในประเทศไทย มอบประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟในบรรยากาศใกล้ชิด ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับพลังของเสียงดนตรี การรู้จักตัวเอง และการดูแลตัวเองผ่านแพลตฟอร์มของ Spotify
ภายในงานมีการเสวนาจากผู้เชี่ยวชาญและศิลปิน ได้แก่ คุณปิโยรส หลักคำ พร้อมด้วย คุณเขื่อน ภัทรดนัย เสตสุวรรณ ศิลปิน นักจิตบำบัด ผู้สนับสนุนด้านสุขภาพจิต และ คุณอิ๊ก กัญจน์ภัสสร สุริยาแสงเพ็ชร์ ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มดูแลสุขภาพจิต OOCA โดยทั้งสามได้ร่วมกันสำรวจจุดเชื่อมต่อระหว่างเสียง เทคโนโลยี และสุขภาวะทางอารมณ์
กิจกรรมในงานมีหลากหลาย ตั้งแต่ Sound Bath ไปจนถึงการอ่านไพ่ทาโรต์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเสียงเพลง ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้เข้าร่วมงานได้ใช้เวลาไตร่ตรอง เติมพลัง และรีเซ็ตตัวเอง ก่อนปิดท้ายด้วยการแสดงสดจากดูโอ้อินดี้ป็อป LANDOKMAI กับเพลงฮิตอย่าง “ยอม (White Flag)” และ “เพลงรักเพลงแรก – Blooming”
สำหรับผู้ที่สนใจดูแลสุขภาพใจผ่านเสียงเพลง Spotify แนะนำเพลย์ลิสต์ที่คัดสรรมาเพื่อส่งเสริมสุขภาวะทางอารมณ์ อาทิ Sleep, เหนื่อยนักพักก่อน, ฟังกันตลอดทาง, บรรเลงฟังสบาย และเพลงไทยสายชิลล์ ซึ่งช่วยดูแลจังหวะอารมณ์ได้ทุกที่ทุกเวลา
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
