Prime Video ประกาศเปิดตัวโลโก้อย่างเป็นทางการของการ ถ่ายทอดสด การแข่งขัน NBA on Prime Video ซึ่งจะเริ่มออกอากาศในเดือนตุลาคม 2568 ภายใต้ข้อตกลงสิทธิ์การถ่ายทอดสดสื่อระดับโลกระยะเวลา 11 ปี โดยถือเป็นครั้งแรกของการถ่ายทอดสดการแข่งขัน NBA บน Prime Video ในประเทศไทย
ลูกค้า Prime Video ในประเทศไทยจะได้รับชมการแข่งขัน NBA แบบเอ็กซ์คลูซีฟรวมทั้งสิ้น 67 เกมในฤดูกาลปกติ รวมถึงทั้ง 7 เกมในรอบน็อกเอาต์ของรายการ Emirates NBA Cup ตลอดจนทุกเกมของรอบ SoFi NBA Play-In Tournament และการแข่งขันรอบแรกและรอบสองของ NBA Playoffs โดยสามารถรับชมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับสมาชิก
สำหรับทีมผู้ดำเนินรายการ Prime Video ได้ประกาศว่า เทย์เลอร์ รุกส์ นักข่าวสายกีฬาชื่อดัง จะมารับหน้าที่เป็นพิธีกรรายการใหม่ของ NBA ร่วมกับนักบาสในตำนาน สมาชิกจากหอเกียรติยศ Naismith Memorial Basketball Hall of Fame ซึ่งประกอบด้วย สตีฟ แนช, ดเวย์น เหวด, เบลก กริฟฟิน, เดิร์ก โนวิตซ์กี้ และ อูโดนิส ฮาสเล็ม ที่จะมานั่งแท่นผู้วิเคราะห์ประจำรายการ
นอกจากนี้ แคนเดซ ปาร์คเกอร์ ตำนานนักบาสเกตบอลหญิงจาก WNBA จะร่วมทีมรายการ NBA on Prime Video ในฐานะนักวิเคราะห์เกมทั้งในสตูดิโอและจากขอบสนาม ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ และจะรับหน้าที่หลักในการนำเสนอรายการ WNBA บน Prime Video ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
นอกจากการถ่ายทอดสดการแข่งขัน Prime Video ยังเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์และเป็นช่องทางหลักสำหรับการสมัครใช้บริการ NBA League Pass ซึ่งเป็นบริการแบบสมัครสมาชิกของ NBA สำหรับการรับชมเกมแบบสดและย้อนหลัง ทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก โดยเปิดโอกาสให้แฟนๆ เข้าถึงเกมการแข่งขันทั้งในฤดูกาลปกติและรอบหลังฤดูกาลได้มากยิ่งขึ้น แต่จะมีค่าบริการรายเดือนเพิ่มเติม
สำหรับแฟนๆ บาสเกตบอลหญิง ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ลูกค้า Prime Video ในประเทศไทยจะสามารถรับชมการแข่งขัน WNBA ฤดูกาลปกติแบบเอ็กซ์คลูซีฟได้ 30 เกมต่อฤดูกาล รวมถึงเกมชิงแชมป์ของรายการ WNBA Commissioner’s Cup presented by Coinbase นอกจากนี้ Prime Video ยังถือสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขัน WNBA รอบหลังฤดูกาลแบบเอ็กซ์คลูซีฟด้วย
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ ถ่ายทอดสด การแข่งขัน NBA สำหรับแฟนๆ ในประเทศไทย ทาง Prime Video จะมีการประกาศก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมนี้
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok