โรงงาน OPPO ฉงชิ่น

พาทัวร์โรงงาน OPPO ที่ฉงชิ่ง ประเทศจีน ฐานการผลิตใหญ่สุดทันสมัยสุดของออปโป้

ทีมงาน TechOffside ได้รับโอกาสพิเศษเดินทางไปเยี่ยมชม โรงงาน ผลิตสมาร์ตโฟนแห่งใหม่ของ OPPO ที่เมือง ฉงชิ่ง ประเทศจีน ซึ่งไม่ใช่แค่โรงงานผลิตทั่วไป แต่เป็นศูนย์กลางการผลิตและจัดส่งที่ใหญ่ที่สุดของ OPPO ทั่วโลก พร้อมด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำสมัยที่สุดในอุตสาหกรรม

OPPO ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 2001 โดยเริ่มต้นจากการจดทะเบียนเป็นแบรนด์ระดับโลก หลังจากสำรวจตลาดกว่า 100 ประเทศเพื่อให้มั่นใจว่าชื่อ “OPPO” ไม่มีความหมายในเชิงลบในประเทศใด ๆ ทั้งสิ้น แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า เส้นทางสู่ความสำเร็จของ OPPO นั้น ไม่ได้เริ่มจากสมาร์ตโฟน

โรงงาน OPPO ฉงชิ่ง

ในช่วงแรก OPPO มุ่งเน้นผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ได้แก่เครื่องเล่น DVD และเครื่องเสียงในบ้าน รวมไปถึงเครื่องเล่น MP3 และ MP4 จนกระทั่งในปี 2005 ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดเครื่องเล่น MP3 ในประเทศจีน ด้วยผลิตภัณฑ์รุ่น X3 ที่มีดีไซน์แบบฝาหอยที่โดดเด่น แตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในยุคนั้น

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2008 เมื่อ OPPO ตัดสินใจเข้าสู่ตลาดโทรศัพท์มือถือ เริ่มจากฟีเจอร์โฟนรุ่น A103 หรือ “Smiley Phone” ที่มียอดขายถึง 1 ล้านเครื่องต่อปี ก่อนจะก้าวเข้าสู่ยุคสมาร์ทโฟนอย่างเต็มตัวในปี 2011 ด้วยการเปิดตัว Find Series

โรงงาน OPPO ฉงชิ่ง

ปี 2014 นับเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อ OPPO เปิดตัวเทคโนโลยีชาร์จเร็ว VOOC ที่กลายเป็นจุดแข็งของแบรนด์ ตามด้วยความสำเร็จครั้งใหญ่ในปี 2016 เมื่อ R9 Series ทำยอดขายได้ถึง 17 ล้านเครื่องต่อปี ทำลายสถิติยอดขายสูงสุดของ iPhone ที่ครองแชมป์มา 4 ปีติดต่อกันในประเทศจีน

โรงงาน OPPO ฉงชิ่ง

วันนี้ OPPO ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สมาร์ทโฟนอีกต่อไป แต่ขยายสู่ผลิตภัณฑ์ IoT หลากหลาย ทั้งแท็บเล็ต สมาร์ทวอทช์ หูฟังไร้สาย ภายใต้วิสัยทัศน์ “1+3+X” โดยมีสมาร์ทโฟนเป็นศูนย์กลาง ผลิตภัณฑ์หลัก 3 ชนิด และอุปกรณ์เสริมรอบด้าน

โรงงาน OPPO ฉงชิ่ง

ข้อมูลล่าสุดจาก Canalys ในไตรมาสที่ 3 ปี 2024 ยืนยันความสำเร็จของ OPPO ที่ครองส่วนแบ่งตลาดโลก 9% อยู่ในอันดับ 4 และที่สำคัญคือก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นครั้งแรก ด้วยส่วนแบ่งตลาด 21% ซึ่งแน่นอนว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญที่มีส่วนผลักดันความสำเร็จนี้

ปัจจุบัน OPPO มีการดำเนินธุรกิจในกว่า 70 ประเทศ มีจุดจำหน่ายกว่า 300,000 แห่งทั่วโลก และมีพนักงานกว่า 40,000 คน พร้อมทั้งมีศูนย์วิจัย 6 แห่ง และโรงงานผลิต 9 แห่งทั่วโลก ซึ่งโรงงานที่เมืองฉงชิ่งแห่งนี้คือหนึ่งในโรงงานที่สำคัญที่สุด

โรงงานฉงชิ่ง: มหานครแห่งนวัตกรรม

โรงงาน OPPO ฉงชิ่ง

เมื่อพูดถึงเมืองฉงชิ่ง หลายคนอาจนึกถึงเมืองที่มีภูมิประเทศแปลกตาที่สุดในจีน ด้วยตึกระฟ้าที่ส่องสว่างยามค่ำคืนเหมือนเป็นเมืองไซเบอร์พังค์ที่สร้างอยู่บนภูเขา รถไฟที่วิ่งทะลุตึก หรืออุทธยานประวัติศาสตร์ แต่สำหรับ OPPO แล้ว เมืองนี้คือศูนย์กลางการผลิตที่ทันสมัยที่สุดของพวกเขา

โรงงาน OPPO ฉงชิ่ง เริ่มจากการลงนามข้อตกลงการลงทุนร่วมกับรัฐบาลเขตอวี่เป่ยในเดือนตุลาคม 2016 ด้วยมูลค่าการลงทุนรวม 7.7 พันล้านหยวน บนพื้นที่ขนาด 1,524 ไร่ เทียบให้เห็นภาพก็คือ ใหญ่กว่าสวนลุมพินีถึง 3.8 เท่าเลยทีเดียว

สิ่งที่น่าสนใจคือการออกแบบผังโรงงานที่เรียกว่า “หนึ่งใจกลาง หนึ่งวงแหวน สี่มุม” โดย:

  • หนึ่งใจกลาง หมายถึงโรงงานผลิตหลักที่รวมสำนักงานและสายการผลิตไว้ตรงกลาง
  • หนึ่งวงแหวน คือทางเดินเชิงนิเวศความยาว 2.5 กิโลเมตรที่อนุญาตให้เฉพาะคนเดินได้
  • สี่มุม หมายถึงหอพักพนักงานทั้ง 4 ด้านรอบโรงงาน

การออกแบบนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสวยงาม แต่สะท้อนแนวคิดการผสมผสานระหว่างพื้นที่ทำงาน พื้นที่พักผ่อน และสิ่งแวดล้อมให้กลมกลืนกัน

เส้นทางสู่การเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุด

โครงการก่อสร้างเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2017 โดยแบ่งการพัฒนาเป็น 2 ระยะ ด้วยกันคือ

  • ระยะที่ 1 (พื้นที่ด้านใต้ของแนวกึ่งกลาง) ได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่พฤศจิกายน 2017 โดยเปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2019 ตอนนี้คือก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว
  • ระยะที่ 2 (พื้นที่ด้านเหนือของแนวกึ่งกลาง) ปัจจุบันกำลังก่อสร้างอยุ่ คาดว่าจะแล้วเสร็จและเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกเท่าตัว

ปัจจุบัน โรงงานฉงชิ่งได้กลายเป็น ฐานการผลิตและศูนย์โลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดของ OPPO ทั่วโลก โดยมีกำลังการผลิตสูงสุดถึง 5 ล้านเครื่องต่อเดือน และสามารถรองรับการผลิตได้ครอบคลุมตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นจนถึงรุ่นเรือธง

โรงงาน OPPO ฉงชิ่ง

จากโรงงานสู่ระบบนิเวศอัจฉริยะ

สิ่งที่ทำให้โรงงานแห่งนี้พิเศษไม่ใช่แค่ขนาด แต่เป็นการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีระบบ MES (Manufacturing Execution System) เป็นหัวใจสำคัญในการจัดการการผลิต ทำงานร่วมกับระบบ SCADA ที่คอยควบคุมและเก็บข้อมูลแบบ real-time ขณะที่ระบบ EAM ช่วยบริหารจัดการอุปกรณ์ต่างๆ และระบบ MCM ทำหน้าที่ในการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์

การผสมผสานระบบเหล่านี้ทำให้โรงงานสามารถติดตามข้อมูลการผลิตแบบ real-time พร้อมวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพได้ทันที อีกทั้งยังช่วยลดเวลาหยุดทำงานจากปัญหาเครื่องจักร และรักษามาตรฐานคุณภาพในทุกขั้นตอนการผลิต โรงงานฉงชิ่งจึงไม่ได้เป็นแค่สถานที่ผลิตสมาร์ทโฟน แต่เป็น “Smart Factory” ที่แท้จริง ซึ่งเป็นต้นแบบให้กับโรงงานอื่นๆ ของ OPPO ทั่วโลก และสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทในการก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 อย่างเต็มตัว

พาชมนวัตกรรมเด่นในโรงงาน

ทริปนี้ เราได้เข้าเยี่ยมชมภายในไลน์การผลิตสมาร์ตโฟนของโรงงาน OPPO ฉงชิ่ง ที่มีกระบวนการตั้งแต่เริ่มประกอบชิ้นส่วนต่างๆ บนบอร์ด ไปจนถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง AI ที่ตอนนี้ทำให้สมาร์ตโฟนมีความอัจฉริยะมากยิ่งขึ้น ที่ทำให้เราได้เห็นว่ากว่าจะผลิตออกมาเป็นสมาร์ตโฟนแต่ละเครื่องนั้นต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง

โซน AI และเทคโนโลยีล่าสุด

เมื่อก้าวเข้าสู่โซนจัดแสดงผลิตภัณฑ์ สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาคือบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยกับการออกแบบที่ทันสมัย ซึ่งเป็นการประกาศชัดเจนว่าปี 2024 คือปีแห่งการก้าวสู่ยุคโทรศัพท์มือถือ AI อย่างเต็มตัวของ OPPO

กับสมาร์ตโฟนเรือธงล่าสุด Find X8 Series ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อช่วงปลายปี 2024 ที่ผ่านมา กลายเป็นจุดสนใจหลักของโซนนี้ โดยเฉพาะ X8 Pro ที่มาพร้อมกับหน้าจอไมโครโค้ง 4 ด้านที่บางและเบาเป็นพิเศษ พร้อมเทคโนโลยี เลนส์ซูมไกลแบบ Periscope  ที่ใช้เซนเซอร์กลับด้านเป็นครั้งแรกของโลก ทำให้ขนาดของโมดูลลดลง 33% แต่ยังคงให้ประสบการณ์การซูมที่น่าประทับใจ

จุดเด่นที่สำคัญคือ ปุ่ม AI โดยเฉพาะ ที่ด้านข้างของตัวเครื่อง ซึ่งทำให้ทุกคนสามารถใช้ฟังก์ชัน AI ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะฟีเจอร์ “ถามหน้าจอด้วยปุ่มเดียว” ที่ช่วยวิเคราะห์และเปิดแอปนำทางให้ทันที โดยไม่ต้องคัดลอกวางหรือสลับหน้าจอไปมา นอกจากนี้ยังสามารถใช้ถามเกี่ยวกับสิ่งที่เห็นบนหน้าจอ แปลงเอกสารกระดาษให้เป็นไฟล์ Word หรือสร้างแผนการเดินทางแบบกำหนดเองได้อีกด้วย

ด้านการถ่ายภาพ Find X8 Series มาพร้อมฟีเจอร์ AI ถึง 3 รายการใหม่อย่าง AI Reflection Remover กำจัดเงาสะท้อนจากกระจกหรือพื้นผิวมันวาว AI Unblur แก้ไขภาพเบลอให้คมชัดขึ้น และ AI Clarity Enhancer เพิ่มความคมชัดและรายละเอียดของภาพ ทำให้ทุกภาพที่ถ่ายมีความสมบูรณ์อย่างที่ต้องการ

นอกจากนี้ในโซนนี้ยังมีการจัดแสดง OPPO A3 Pro ที่โชว์ความแกร่ง ด้วยมาตรฐานการกันน้ำสูงสุดถึง 3 ระดับ IP66, IP68, IP69 พร้อมกระจก Gorilla Glass ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม 180% และกระจกด้านหลัง Crystal Shield ที่ OPPO พัฒนาขึ้นเองที่ทนการกระแทกได้อย่างมั่นใจ

ต้นไม้เทคโนโลยี: สัญลักษณ์แห่งความยั่งยืน

หนึ่งในจุดที่สะดุดตาในโรงงานคือ “ต้นไม้เทคโนโลยี” ประติมากรรมที่ทำขึ้นจากเศษวัสดุแผงวงจรหลัก (PCB) ของโทรศัพท์มือถือ โดยกิ่งก้านและใบของต้นไม้รวมถึงรากล้วนทำมาจากชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น

ผลงานชิ้นนี้ไม่ได้เป็นเพียงงานศิลปะ แต่เป็นการสื่อถึงแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ OPPO ให้ความสำคัญ โดยบริษัทได้ประกาศเป้าหมายที่จะบรรลุ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในการดำเนินงานของตนภายในปี 2050 พร้อมกำหนดเส้นทางการพัฒนาที่ปล่อยคาร์บอนต่ำไว้แล้ว

แนวคิดนี้สอดคล้องกับพันธกิจของ OPPO ที่ว่า “Technology for mankind, kindness for the world” ซึ่งเชื่อว่าการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยีทั้งหมดควรเริ่มต้นจากความต้องการของผู้ใช้ โดยยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง พร้อมกับคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน

การจัดแสดงต้นไม้เทคโนโลยีนี้จึงเป็นการย้ำเตือนถึงความรับผิดชอบของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่มีต่อโลกใบนี้ และแสดงให้เห็นว่า OPPO พร้อมเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนในวงการสมาร์ทโฟนต่อไป

สายการผลิตอัจฉริยะ SMT

เมื่อเดินเข้าสู่พื้นที่การผลิต สิ่งแรกที่สะดุดตาคือบรรยากาศที่แตกต่างจากโรงงานทั่วไป แทนที่จะเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกและพนักงานจำนวนมาก กลับพบกับสายการผลิตที่เงียบสงบ มีพนักงานเพียงไม่กี่คนคอยควบคุมเครื่องจักรอัตโนมัติที่ทำงานอย่างแม่นยำ นี่คือ SMT (Surface Mounted Technology) หรือสายการผลิตแผงวงจรหลัก ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตสมาร์ทโฟนทุกเครื่อง

สายการผลิต SMT ที่ฉงชิ่ง เริ่มผลิตแผงวงจร PCB แผ่นแรกเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2019 และภายในเวลาเพียง 2 ปี ยอดการผลิตต่อเดือนก็ทะลุ 4 ล้านแผ่น และปัจจุบันมีกำลังการผลิตสูงสุดถึง 5 ล้านแผ่นต่อเดือน

หัวใจสำคัญของสายการผลิตนี้คือ เครื่องติดตั้งชิ้นส่วนความเร็วสูงแบบรางคู่ จากบริษัท Siemens ประเทศเยอรมนี ด้วยจุดเด่นคือ มีขนาดเล็ก ใช้การออกแบบแบบโมดูล และความแม่นยำสูง โดยแต่ละรางด้านหน้าใช้ติดตั้งชิ้นส่วนขนาดเล็ก เช่น ตัวต้านทาน ตัวเก็บประจุ และตัวเหนี่ยวนำ ซึ่งชิ้นส่วนที่เล็กที่สุดมีขนาดเพียง 0.4 x 0.2 มม. ขณะที่รางด้านหลังใช้สำหรับติดตั้งชิ้นส่วนขนาดใหญ่ เช่น CPU และชิปหน่วยความจำ

สิ่งที่น่าทึ่งคือ ระบบนี้สามารถติดตั้งชิ้นส่วนได้อย่างแม่นยำแม้จะมีระยะห่างที่แคบมาก โดยสายการผลิตของที่นี่เป็นแบบเส้นเดียวต่อเนื่องยาวกว่า 70 เมตร ทำให้กระบวนการผลิตไหลลื่นตั้งแต่ชิ้นส่วนขนาดเล็กไปจนถึงเมนบอร์ดที่มีความซับซ้อนสูง

ปัจจุบันสายการผลิต SMT มีระดับอัตโนมัติอยู่ที่ 90-95% ช่วยลดจำนวนพนักงานจากเดิม 11 คนต่อสาย เหลือเพียง 6 คน แต่เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน

หลังจากกระบวนการติดตั้งชิ้นส่วนเสร็จสิ้น แผงวงจรหลักจะเข้าสู่เตาอบไนโตรเจนแบบรีโฟลว์ (Reflow Oven) เพื่อทำการบัดกรีระหว่างชิ้นส่วนและแผง PCB จากนั้นจะผ่านเข้าสู่ระบบ AOI (Automated Optical Inspection) ซึ่งเป็นระบบตรวจสอบด้วยแสงอัตโนมัติ

ระบบ AOI นี้จะตรวจสอบคุณภาพการบัดกรีในทุกจุด ทั้งการบัดกรีที่สมบูรณ์ ตำแหน่งของชิ้นส่วน และข้อบกพร่องต่างๆ โดยสามารถตรวจจับความผิดปกติได้อย่างแม่นยำในระดับไมโครเมตร

สิ่งที่โดดเด่นคือการใช้ระบบ MES (Manufacturing Execution System) ในการจัดการการผลิตแบบครบวงจร ระบบนี้ทำงานร่วมกับ SCADA สำหรับควบคุมและเก็บข้อมูลแบบ real-time, EAM สำหรับบริหารจัดการอุปกรณ์ และ MCM สำหรับการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์

ระบบเหล่านี้ช่วยให้สามารถติดตามข้อมูลการผลิตแบบทันที ตรวจจับความผิดปกติของเครื่องจักรโดยอัตโนมัติ ส่งการแจ้งเตือนเมื่อมีปัญหา และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์คืออัตราการผ่านในครั้งแรก (First Pass Yield) อยู่ที่ 98.5% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม และที่สำคัญคือสามารถรักษามาตรฐานคุณภาพนี้ได้อย่างสม่ำเสมอ

นอกจากนี้ ระบบยังช่วยให้พนักงานหนึ่งคนสามารถดูแลสายการผลิตได้พร้อมกัน 4 สาย ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของแรงงานในระดับสูง พร้อมทั้งลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์

สู่ขั้นตอนสุดท้าย การประกอบ (Final Assembly)

หลังจากแผงวงจรหลักผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากสายการผลิต SMT เรียบร้อยแล้ว ก็จะถูกส่งต่อมายังสายประกอบขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่จะรวมชิ้นส่วนต่างๆ ให้กลายเป็นสมาร์ตโฟนที่พร้อมใช้งาน สายการผลิตนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของโรงงานฉงชิ่ง ด้วยระดับความเป็นอัตโนมัติสูงที่สุดในบรรดาโรงงานทั้งหมดของ OPPO

นวัตกรรมการประกอบอัตโนมัติ

โรงงาน OPPO ฉงชิ่ง

สายการประกอบขั้นสุดท้ายนี้ประกอบด้วย 7 สายการผลิตแบบครบวงจร ซึ่งแต่ละสายใช้รูปแบบการผลิตต่อเนื่องตั้งแต่การเตรียมงานล่วงหน้า การประกอบชิ้นส่วน การทดสอบทั้งเครื่อง ไปจนถึงการบรรจุผลิตภัณฑ์ โดยไม่มีจุดขาด ซึ่งช่วยลดการหมุนเวียนสต็อก ลดเวลาในการหมุนเวียน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

โทรศัพท์มือถือหนึ่งเครื่องประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ได้แก่ หน้าจอ กรอบกลาง แบตเตอรี และฝาหลัง ในจุดแรกที่เราเห็นคืออุปกรณ์ติดตั้งหน้าจออัตโนมัติ ซึ่งเมื่อเทียบกับการติดตั้งด้วยมือ ช่วยเพิ่มความแม่นยำและความสม่ำเสมอของการติดตั้งหน้าจอ โดยอัตราความคลาดเคลื่อน เช่น การติดตั้งเอียง ลดลงเหลือเพียง 0.3%

สิ่งที่น่าสนใจคือการใช้ Clean Booth สำหรับงานประกอบกล้อง เนื่องจากเป็นตำแหน่งงานที่มีข้อกำหนดด้านความสะอาดของอากาศสูง ภายใน Clean Booth ติดตั้งเครื่องเพิ่มความชื้นและพัดลมขนาดเล็ก เพื่อเพิ่มน้ำหนักของฝุ่นและลดผลกระทบต่อการทำงานของกล้อง

ในปัจจุบัน การประกอบแผงวงจรหลัก แบตเตอรี และการติดวัสดุเสริมต่างๆ ล้วนใช้เครื่องจักรในการดำเนินการทั้งสิ้น ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาคุณภาพไม่สม่ำเสมอจากแรงงานคน ความผิดพลาดจากความเหนื่อยล้าในการทำงานต่อเนื่อง และประสิทธิภาพต่ำในช่วงเริ่มต้นของพนักงานใหม่

ตามแผนที่วางไว้ หนึ่งสายการผลิตสามารถประหยัดแรงงานได้ 31 คน อัตราความเป็นอัตโนมัติเพิ่มขึ้นเป็น 50% และผลผลิตต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้น 12.5% ทำให้สายการผลิตนี้กลายเป็นต้นแบบของการผลิตอัจฉริยะที่แท้จริง

มาตรฐานการทดสอบระดับสูง

เมื่อการประกอบฝาหลังและการกดให้แนบสนิทเสร็จสิ้น สมาร์ตโฟนเครื่องหนึ่งก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์ แต่ก่อนที่จะผ่านไปยังขั้นตอนการบรรจุ โทรศัพท์ทุกเครื่องจะต้องผ่านสายการทดสอบอัตโนมัติ ซึ่งจะมีการตรวจสอบอย่างน้อย 30 รายการ เช่น ลักษณะภายนอกของหน้าจอ กล้อง และการทดสอบ Wi-Fi การกันกระแทก ความทนทาน ไปจนถึงการควบคุมอุณหภูมิระหว่างที่ใช้งาน

อุปกรณ์แต่ละเครื่องเชื่อมต่อกับ Dashboard ดิจิทัลแล้วทั้งหมด โดยระบบสามารถป้องกันความผิดพลาดข้ามกระบวนการได้ 100% และป้องกันการใช้วัสดุผิดได้ 100% พร้อมทั้งอัปเดตข้อมูลของแต่ละสถานีงานแบบ real-time ทำให้ระบบการทำงานออนไลน์ตัวชี้วัดสามารถมองเห็นได้และการจัดการมีความโปร่งใส

หลังจากผ่านการทดสอบและการตรวจสอบลักษณะภายนอกอย่างเข้มงวด ขั้นตอนสุดท้ายคือการบรรจุ ซึ่งในขั้นตอนนี้ก็มีการนำระบบอัตโนมัติมาใช้เช่นกัน ทั้งการเขียนหมายเลขซีเรียล การแกะกล่องอัตโนมัติ และการบรรจุสายชาร์จและสายดาต้า

สิ่งที่น่าสนใจคือการใช้รถ AGV (Automated Guided Vehicle) อัตโนมัติสำหรับการจัดส่งวัสดุในสายการผลิต รถขนส่ง AGV แบบอัตโนมัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยรวม ปรับปรุงการจัดการโลจิสติกส์ ทำให้ระบบโลจิสติกส์ในการผลิตทั้งหมดบรรลุความเป็นอัตโนมัติ อัจฉริยะ และยืดหยุ่น พร้อมทั้งเพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่การผลิตอีกด้วย

โรงงาน OPPO ฉงชิ่ง

ปัจจุบันสายการผลิตนี้สามารถรองรับการผลิตได้ครอบคลุมทุกรุ่นในซีรีส์ A และกำลังขยายไปยังซีรีส์อื่นๆ โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สามารถรองรับทุกรุ่นของ OPPO ในอนาคต

โรงงาน ฉงชิ่ง ฐานการผลิตใหญ่สุดของ OPPO ศูนย์กลางการผลิตระดับโลก

เมื่อมองภาพรวมของโรงงานฉงชิ่ง จะเห็นได้ว่ามันไม่ได้เป็นเพียงแค่โรงงานผลิตสมาร์ตโฟนอีกแห่งหนึ่งของ OPPO แต่เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมการผลิตอัจฉริยะในระดับโลก

โรงงาน OPPO ฉงชิ่ง

ในฐานะหนึ่งในโรงงานผลิต 9 แห่งทั่วโลกของ OPPO โรงงานฉงชิ่งมีบทบาทสำคัญในเครือข่ายการผลิตระดับนานาชาติ โดยโรงงานในประเทศจีนมีเพียง 2 แห่ง คือที่ฉงชิ่งและสวนอุตสาหกรรมฉางอาน ตงกวน ขณะที่อีก 7 แห่งกระจายอยู่ในอินเดีย อินโดนีเซีย บังกลาเทศ ตุรกี ปากีสถาน บราซิล และอียิปต์

โรงงานฉงชิ่งโดดเด่นด้วยกำลังการผลิตสูงสุดถึง 5 ล้านเครื่องต่อเดือน ทำให้กลายเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดใน OPPO ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับโรงงานอื่นๆ เช่น โรงงานอินเดียที่มีกำลังการผลิต 8.33 ล้านเครื่องต่อเดือน แต่มีพื้นที่ขนาด 450,000 ตารางเมตร จะเห็นได้ว่าโรงงานฉงชิ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าอย่างชัดเจน

นอกเหนือจากความเป็นเลิศด้านการผลิต OPPO ยังให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) โดยมุ่งมั่นในพันธสัญญาที่มีต่อการปกป้องสิ่งแวดล้อม ความเท่าเทียมทางดิจิทัล สุขภาวะ และการเสริมพลังให้กับเยาวชน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050

OPPO กับอนาคตของอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน

โรงงาน OPPO ฉงชิ่ง

การเยี่ยมชม โรงงาน OPPO ที่ ฉงชิ่ง ครั้งนี้ ถือว่าเปิดประสบการณ์ให้เห็นถึงเทคโนโลยีการผลิตสมาร์ตโฟนระดับโลกที่ล้ำสมัยอย่างแท้จริง ตั้งแต่สายการผลิต SMT ที่มีระดับอัตโนมัติถึง 95% ไปจนถึงการใช้ AI และ IoT ในการควบคุมคุณภาพ ทุกอย่างสะท้อนให้เห็นว่า OPPO ไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิตสมาร์ตโฟน แต่กำลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไปสู่ยุคใหม่แห่งการผลิตอัจฉริยะ

สิ่งที่น่าประทับใจไม่ใช่แค่ความล้ำ แต่เป็นวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของ OPPO ในการผสมผสานนวัตกรรมกับความยั่งยืน ดังที่เห็นได้จากตัวโรงงานที่อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศที่สอดคล้องกับธรรมชาติ และเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับอนาคตของโลกไปพร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยี

จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสในครั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของ OPPO โดยเฉพาะที่ผลิตจากโรงงานฉงชิ่ง จะยังคงสร้างความตื่นเต้นให้กับวงการสมาร์ตโฟนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Find X8 Series ที่เพิ่งเปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ AI สุดล้ำ หรือผลิตภัณฑ์ในอนาคตที่กำลังจะตามมา แฟนๆ OPPO และผู้ที่สนใจเทคโนโลยีควรจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราใช้สมาร์ทโฟนไปตลอดกาล

ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok

Online Content Manager with over 10 years of experience working in the news, technology, and telecom industries.