ไมโครซอฟท์เปิดเผยข้อมูลล่าสุดจากรายงานวิจัย Work Trend Index ฉบับปี 2025 นำเสนอแนวคิด “Frontier Firm” หรือองค์กรระดับแนวหน้าด้านนวัตกรรมที่ผสานการทำงานระหว่างมนุษย์และ AI อย่างลงตัว โดยมุ่งเน้นให้เห็นทิศทางการเปลี่ยนแปลงการทำงานในองค์กรไทยและทั่วโลก
ผลสำรวจจากผู้บริหารและพนักงาน 31,000 คนใน 31 ประเทศทั่วโลก พบว่าผู้บริหารในไทยถึง 93% กำลังปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หลักขององค์กรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง โดย นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เผยว่าองค์กรชั้นนำกำลังปรับโครงสร้างการทำงาน ยกระดับ AI จากเครื่องมือทั่วไปให้กลายเป็นเพื่อนร่วมทีมคนใหม่

การสำรวจระบุว่าผู้บริหารไทยมากถึง 90% มีแผนนำ AI agent เข้ามาทำงานเคียงข้างพนักงานภายใน 12-18 เดือนข้างหน้า สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก (82%) และยังพบว่าองค์กรไทย 68% เริ่มนำ AI agent มาทำงานอัตโนมัติแล้ว ซึ่งสูงที่สุดในการสำรวจ 31 ประเทศ
พฤติกรรมการใช้งาน AI ของพนักงานไทยมีความน่าสนใจ โดย 56% มอง AI เป็นเพื่อนคู่คิด แตกต่างจากค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 46% และยังเล็งเห็นคุณค่าของ AI ในการนำเสนอไอเดียและความคิดสร้างสรรค์มากกว่าพนักงานในประเทศอื่น
ผู้บริหารไทยคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ทีมงานในองค์กรจะต้องมีบทบาทใหม่ๆ เช่น การออกแบบระบบงานด้วย AI (51%), การสร้างระบบอัตโนมัติที่ซับซ้อน (51%), การฝึกสอน AI agent (56%) และการบริหารจัดการ AI agent (46%)
ไมโครซอฟท์ยังได้ประกาศฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft 365 Copilot ได้แก่ Researcher และ Analyst ซึ่งเป็น AI agent ที่ช่วยงานวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูล, Agent Store ที่รวบรวม AI agent จากพันธมิตรต่างๆ, ฟังก์ชัน Create ที่สร้างภาพด้วยโมเดล GPT-4o, Copilot Notebooks ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารต่างๆ, Copilot Search ที่ค้นหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ทั่วองค์กร และ Copilot Control System ที่ช่วยจัดการการใช้งาน AI agent ในองค์กร
“รายงาน Work Trend Index ชี้ให้เห็นว่าองค์กรทั่วโลกกำลังก้าวจากการทดลองใช้ AI สู่การใช้งานจริงและการปรับโครงสร้างองค์กร” นายธนวัฒน์ กล่าวเสริม “เราเชื่อว่าองค์กรและประเทศที่ปรับตัวให้ทำงานแบบ AI-first ได้ จะสามารถผสมผสานความสามารถของมนุษย์และ AI เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว”
ผู้สนใจสามารถอ่านรายงาน Work Trend Index 2025 ฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์ของไมโครซอฟท์
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok