Western Digital ผนึกกำลัง Microsoft และพันธมิตร เปิดตัวโครงการกู้คืนแร่หายากจากฮาร์ดดิสก์ที่หมดอายุการใช้งานครั้งแรกของโลก สำเร็จเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ด้วยเทคโนโลยี Acid-Free Dissolution Recycling ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถกู้คืนวัสดุได้ถึง 90% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 95%
จุดเปลี่ยนครั้งใหม่ในการกู้คืนแร่หายากจากฮาร์ดดิสก์ที่หมดอายุการใช้งาน ในขณะที่วิธีการรีไซเคิลแบบเดิมสามารถกู้คืนวัสดุมีค่าเหล่านี้ได้เพียงบางส่วน โครงการความร่วมมือครั้งสำคัญนี้ได้พลิกโฉมกระบวนการรีไซเคิลด้วยนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างมาตรฐานใหม่ที่ไม่เพียงแต่ลดผลกระทบต่อโลกแต่ยังเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา
เปิดศักราชใหม่แห่งการรีไซเคิลฮาร์ดดิสก์ยุคดิจิทัล
วิกฤตการขาดแคลนแร่หายากได้กลายเป็นความท้าทายระดับโลก โดยเฉพาะในยุคที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทต้องพึ่งพาแร่หายากเหล่านี้ การทำเหมืองแบบดั้งเดิมไม่เพียงแต่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ยังทำให้ห่วงโซ่อุปทานขาดความยั่งยืน
Western Digital (Nasdaq: WDC) ร่วมมือกับ Microsoft, Critical Materials Recycling (CMR) และ PedalPoint Recycling ได้พัฒนาระบบคัดแยกขั้นสูงใหม่ที่ใช้กระบวนการทางเคมีแบบ ADR ที่ปราศจากกรด ไม่เพียงแต่สามารถกู้คืนแร่หายากที่สำคัญ เช่น นีโอดิเมียม (Nd), พราเซโอดิเมียม (Pr) และดิสโพรเซียม (Dy) แต่ยังสกัดโลหะมีค่าอื่นๆ เช่น ทอง, ทองแดง, อลูมิเนียม และเหล็กกล้า
ที่น่าทึ่งคือ โครงการนี้สามารถแปลงฮาร์ดดิสก์ที่หมดอายุการใช้งานมากถึง 50,000 ปอนด์ (ประมาณ 22,000 กิโลกรัม) ให้กลายเป็นวัสดุที่มีมูลค่าสูง โดยกระบวนการนี้สามารถกู้คืนวัสดุได้ถึง 90% และกู้คืนวัสดุจากมวลดั้งเดิมได้ประมาณ 80%
เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ผลการวิเคราะห์วงจรชีวิต (Life Cycle Analysis) พบว่าโครงการนี้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 95% เมื่อเทียบกับการทำเหมืองและกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม ตัวเลขนี้ไม่เพียงแต่น่าประทับใจ แต่ยังเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
กระบวนการผลิต Rare Earth Oxide (REO) ภายในประเทศยังช่วยลดการปล่อยก๊าซจากการขนส่ง ทำให้ห่วงโซ่อุปทานมีความยืดหยุ่นและลดการพึ่งพาวัสดุนำเข้า ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญเมื่อพิจารณาว่ากว่า 85% ของการผลิตแร่หายากขั้นต้นอยู่นอกสหรัฐอเมริกา และอัตราการรีไซเคิลแร่หายากภายในประเทศยังต่ำกว่า 10%
เทคโนโลยี Acid-Free Dissolution Recycling (ADR) ที่ใช้ในโครงการนี้ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นที่ Critical Materials Innovation (CMI) Hub สามารถเปลี่ยนจากระดับห้องปฏิบัติการมาสู่การสาธิตเชิงอุตสาหกรรมได้ภายในเวลาเพียง 8 ปี

มุมมองจากผู้นำในอุตสาหกรรม
คุณแจ็คกี้ จัง รองประธานฝ่ายกลยุทธ์การดำเนินงานระดับโลกและความยั่งยืนขององค์กรที่ Western Digital กล่าวว่า “โครงการนี้ได้กำหนดมาตรฐานใหม่ในการบริหารจัดการฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ที่หมดอายุการใช้งาน ในยุคที่ข้อมูลเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นวัตกรรมต้องก้าวให้ไกลเกินกว่าช่วงอายุการใช้งานของอุปกรณ์ เวสเทิร์น ดิจิตอล และพันธมิตรของเรากำลังเป็นผู้นำในการแปลงอุปกรณ์เก่าที่หมดอายุการใช้งานให้เป็นทรัพยากรสำคัญที่ขับเคลื่อนอนาคตของเรา”
คุณชัค เกรแฮม รองประธานฝ่ายจัดหาคลาวด์ ห่วงโซ่อุปทาน ความยั่งยืน และความปลอดภัยของ Microsoft กล่าวเสริมว่า “โครงการนำร่องนี้แสดงให้เห็นว่าการจัดการช่วงสิ้นอายุการใช้งานของฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์อย่างยั่งยืนและคุ้มค่าทางเศรษฐกิจนั้นเป็นไปได้ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลของเรา และการผลักดันห่วงโซ่อุปทานแบบหมุนเวียนเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของไมโครซอฟท์”
คุณทอม ลอกกราสโซ ผู้อำนวยการ Critical Materials Innovation (CMI) กล่าวถึงความสำเร็จว่า “ความสามารถในการขยายเทคโนโลยี ADR จากห้องปฏิบัติการสู่การสาธิตในเวลาเพียงแปดปี เป็นข้อพิสูจน์ถึงความยอดเยี่ยมของทีมงาน CMR โครงการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะวัสดุหรือชิ้นส่วนจากฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จะยังคงเพิ่มขึ้นทั่วโลก เนื่องจากความต้องการจัดเก็บข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI ยังคงเติบโต”
มองไปข้างหน้า: โอกาสสำหรับประเทศไทย
โครงการนี้เป็นมากกว่าการรีไซเคิลฮาร์ดดิสก์ แต่เป็นการสร้างต้นแบบที่สามารถขยายไปทั่วโลก สำหรับประเทศไทยที่มีอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ขนาดใหญ่ นวัตกรรมนี้อาจกลายเป็นโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากฮาร์ดดิสก์ที่หมดอายุการใช้งาน พร้อมทั้งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีนัยสำคัญ
การรีไซเคิลแร่หายากที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดต้นทุนการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า กังหันลม และสินค้าไฮเทคอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรมในระยะยาว
ภาพประกอบ : FreePik
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
