พบกับ รีวิว Sonos Arc Ultra ซาวด์บาร์ระดับพรีเมียมรุ่นท็อปตัวล่าสุด ที่ยกระดับจากรุ่น Arc เดิมที่ครองใจผู้ใช้มากว่า 4 ปี แม้ว่าภายนอกอาจดูคล้ายกับรุ่นเดิม แต่ Sonos ครั้งนี้นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ที่พวกเขาเรียกว่า “Sound Motion” ที่ยืนยันว่าจะมอบพลังเบสได้มากกว่ารุ่นเดิมถึงเท่าตัว
หลังจากที่เราได้ทดสอบลองใช้งานมาสักพัก ต้องบอกว่า Arc Ultra สร้างความประทับใจได้ดีมากๆ แม้จะมาพร้อมกับราคาที่สูงขึ้นที่ 49,990 บาท (เพิ่มขึ้นราว 6,090 บาทจากรุ่นเดิมที่จำหน่ายในไทยที่ราคา 43,900 บาท) แต่เมื่อได้สัมผัสคุณภาพเสียงที่ปรับปรุงใหม่หมดทั้งระบบ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการยกระดับที่คุ้มค่า

จุดที่น่าสนใจไม่ใช่แค่พลังเบสที่ทรงพลังขึ้น แต่เป็นระบบลำโพงแบบ 9.1.4 แชนแนล (เพิ่มจาก 5.0.2 ในรุ่นเดิม) พร้อมการเชื่อมต่อ Bluetooth ที่หลายคนรอคอยมานาน และเทคโนโลยี Trueplay ที่รองรับ Android แล้ว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของ Sonos เลยทีเดียว
แต่ Sonos Arc Ultra จะคุ้มค่ากับการอัพเกรดหรือไม่? รีวิว นี้เราจะบอกกันแบบละเอียดกันเลย

แกะกล่อง Unbox รีวิว Sonos Arc Ultra
ตัวแพ็กเกจยังมาในขนาดใหญ่อลังการตามขนาดของตัวซาวด์บาร์เช่นเคย โดยที่ทั้งหมดจะเป็นกระดาษและวัสดุที่เป็นมิตรต่อการรีไซเคิลและย่อยสลาย ตัวกล่องจะมีสลักล็อกฝาอยู่ที่ด้านข้างซ้ายขวาของกล่อง เมื่อปลดแล้วก็จะเปิดออกได้อย่างง่ายดาย

ในกล่องตัวซาวด์บาร์จะหุ้มเอาไว้ด้วยซองผ้าเนื้อนุ่มอย่างดี เมื่อยกออกมาแล้วในกล่องจะมีตัวสาย HDMI 2.1 และสายไฟ power สีเดียวกับตัวเครื่อง รวมถึงจะมีเอกสารคู่มือการใช้งานเบื้องต้น และการตั้งค่าในการเริ่มต้นมาให้ด้วย
การออกแบบและวัสดุ
เมื่อแกะกล่อง Sonos Arc Ultra ออกมา ผมต้องยอมรับว่าแทบจะแยกไม่ออกว่าต่างจากรุ่นเดิมตรงไหน ถ้าไม่สังเกตให้ดี แต่เมื่อมองใกล้ๆ จะเห็นความแตกต่างหลายจุดที่น่าสนใจ
ด้านขนาด Arc Ultra มีความกว้างมากขึ้นเล็กน้อย วัดได้ที่ 1,178 มม. (เทียบกับ 1,142 มม. ของรุ่นเดิม) แต่มีความสูงลดลงเหลือ 75 มม. (จาก 87 มม.) ทำให้ดูเตี้ยลงและแนบไปกับทีวีมากขึ้น น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 5.9 กก. ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นเดิม ด้วยความกว้างขนาดนี้ ผมแนะนำให้ใช้คู่กับทีวีขนาด 55 นิ้วขึ้นไป ไม่อย่างนั้นอาจดูไม่สมดุลกับทีวีของคุณ

จุดเด่นที่สังเกตได้ชัดคือ “ขอบคิ้ว” ด้านบนที่ยื่นออกมาจากตัวลำโพง ซึ่งเป็นที่วางของปุ่มควบคุมแบบสัมผัสที่ใช้งานง่ายกว่ารุ่นเดิม ประกอบด้วยปุ่มเล่น/หยุด, ข้ามเพลง, แถบเลื่อนปรับระดับเสียงแบบสัมผัส และปุ่มเปิด/ปิดการควบคุมด้วยเสียง ในขณะที่รุ่นเดิมจะซ่อนปุ่มอยู่บนตัวลำโพงโดยตรง

Sonos Arc Ultra ยังคงความเรียบหรูตามแบบฉบับของ Sonos ด้วยการเคลือบผิวแบบด้านที่มีให้เลือก 2 สี คือ ขาวและดำ ตัวลำโพงถูกคลุมด้วยตะแกรงเกือบทั้งหมด ทำให้แม้จะมีขนาดใหญ่แต่ดูกลมกลืนไปกับการตกแต่งห้อง คุณภาพการประกอบและวัสดุถือว่าดีเยี่ยม สมกับราคาระดับพรีเมียม

ส่วนด้านหลังมีช่องเชื่อมต่อที่ค่อนข้างเรียบง่าย ประกอบด้วยพอร์ต HDMI eARC กับช่องต่อสาย Power, พอร์ต Ethernet, ปุ่มจับคู่ Bluetooth ที่ซ่อนอยู่ในร่องด้านหลัง พร้อมกับสวิตช์เปิด/ปิดไมโครโฟนสำหรับคนที่เป็นห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัว

และเหมือนกับรุ่นก่อนที่ไม่มีพอร์ต Optical มาให้ แต่คุณสามารถซื้ออะแดปเตอร์ HDMI to Optical มาแปลงได้ หากทีวีของคุณเป็นรุ่นเก่าที่ไม่มี HDMI ARC แต่ผมคิดว่าถ้าคุณกำลังลงทุนกับซาวด์บาร์ราคาเกือบ 5 หมื่นบาท ก็น่าจะมีทีวีรุ่นใหม่ที่รองรับ HDMI ARC อยู่แล้ว
โดยรวมแล้ว แม้จะดูคล้ายกับรุ่นเดิมมาก แต่ Sonos Arc Ultra ก็มีการปรับปรุงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน เช่น ปุ่มควบคุมแบบสัมผัสที่เข้าถึงง่ายขึ้น และรูปทรงที่แบนลงเล็กน้อย

รู้จักกับเทคโนโลยี Sound Motion
หัวใจสำคัญที่ทำให้ Sonos Arc Ultra แตกต่างจากซาวด์บาร์ทั่วไป (รวมถึงรุ่นเดิม) คือเทคโนโลยีที่ Sonos เรียกว่า “Sound Motion” ซึ่งเป็นนวัตกรรมการออกแบบลำโพงแบบใหม่ที่น่าทึ่งมาก
แล้วมันพิเศษยังไง? ปกติลำโพงทั่วไปจะมีมอเตอร์ขับเคลื่อนขนาดใหญ่และหนักเพียงตัวเดียว แต่ลำโพง Sound Motion ใช้มอเตอร์ขนาดเล็กและเบากว่าถึง 4 ตัว ติดตั้งไว้ที่มุมทั้งสี่ของระบบ มอเตอร์เหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อขับไดอะแฟรมคู่ (dual diaphragms) ที่เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม สร้างแรงตรงข้ามกันแบบ “push/push” ทำให้สามารถขยับมวลอากาศได้มากกว่า และสร้างเสียงเบสที่ลึกและทรงพลังขึ้น
นอกจากนี้ การวางมอเตอร์ไว้ด้านนอกพื้นที่ของไดอะแฟรมยังช่วยให้มีพื้นที่ในการเคลื่อนที่มากขึ้น โดยไม่เกิดการรบกวนระหว่างไดอะแฟรมหรือระบบวอยซ์คอยล์ ที่สำคัญคือการออกแบบนี้ช่วยให้เกิดการ “หักล้างแรงสั่นสะเทือน” (force-cancelling) ลดการสั่นของตัวลำโพงแม้จะเล่นเสียงที่ดังและหนักแน่น
Sonos ระบุว่าลำโพง Sound Motion สามารถให้พลังเสียงเทียบเท่ากับลำโพงแบบดั้งเดิมที่มีขนาดใหญ่กว่าถึง 3 เท่า และให้ “เบสเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า” เมื่อเทียบกับ Arc รุ่นเดิม ซึ่งผมรู้สึกได้จริงๆ เมื่อได้ทดลองเล่นเพลงและดูหนังที่มีฉากแอ็คชั่นหนักๆ
ความน่าทึ่งของเทคโนโลยีนี้ยังรวมถึงการที่ลำโพงเบสไม่มีเสียง “หึ่งๆ” (chuffing) ที่มักเกิดกับซาวด์บาร์ทั่วไปเมื่อต้องสร้างเสียงต่ำมากๆ อีกด้วย สำหรับซาวด์บาร์ขนาดนี้ การที่ Sonos Arc Ultra สามารถสร้างเสียงเบสที่ลึกและควบคุมได้ดีเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก
ที่สำคัญ Sonos ไม่ได้เพียงแค่เพิ่ม “ปริมาณ” ของเสียงเบส แต่เน้นที่ “คุณภาพ” ด้วย เสียงเบสที่ได้จึงมีรายละเอียด มีความไวในการตอบสนองและมีโทนเสียง ที่ดีกว่า ต่างจากรุ่นเดิมที่เสียงเบสอาจจะฟังดูหนักแน่น แต่ขาดความชัดเจนและมีมิติเดียว
Sonos ยังบอกอีกว่าเทคโนโลยี Sound Motion เป็นเพียงจุดเริ่มต้น และพวกเขาวางแผนที่จะนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอนาคต เรียกได้ว่านี่เป็นการเปิดบทใหม่ในการพัฒนาลำโพงของ Sonos เลยทีเดียว แฟนๆ ของแบรนด์คงต้องจับตาดูว่าพวกเขาจะนำเทคโนโลยีนี้ไปต่อยอดอะไรได้อีก

ระบบลำโพงและการจัดวาง
นอกเหนือจากเทคโนโลยี Sound Motion แล้ว Sonos Arc Ultra ยังมีการอัพเกรดระบบลำโพงแบบจัดเต็ม โดยมาพร้อมการจัดวางลำโพงแบบ 9.1.4 แชนแนล ซึ่งเป็นการยกระดับจากระบบ 5.0.2 แชนแนลของรุ่นเดิมอย่างมีนัยสำคัญ
ภายในตัวเครื่องมีลำโพงทั้งหมด 14 ตัว ที่ขับเคลื่อนด้วยแอมปลิไฟเออร์ Class D 15 ช่อง (เพิ่มจาก 11 ตัวในรุ่นเดิม) ประกอบด้วย:
- ทวีตเตอร์ 7 ตัว เป็นแบบโดมผ้าไหม (silk-dome) โดย 2 ตัวหันขึ้นด้านบนเพื่อสร้างเสียงในแนวดิ่ง และอีก 2 ตัวติดตั้งที่ปลายด้านข้างในมุมเอียงเพื่อสร้างเสียงในแนวกว้างและสูง
- มิดเรนจ์ไดรเวอร์ 6 ตัว ส่วนใหญ่ทำหน้าที่สร้างเสียงช่องกลาง (center channel) ซึ่งสำคัญมากสำหรับเสียงบทสนทนาในภาพยนตร์
- ลำโพงเบส Sound Motion 1 ชุด ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่งกล่าวถึงไป
สิ่งที่น่าสนใจคือวิธีที่ Sonos จัดวางลำโพงเหล่านี้ ลำโพงทวีตเตอร์ที่หันขึ้นบนช่วยให้เสียงสะท้อนจากเพดานกลับลงมาที่ผู้ฟัง สร้างความรู้สึกเหมือนมีลำโพงติดตั้งบนเพดานจริงๆ ในขณะที่ลำโพงด้านข้างช่วยขยายเวทีเสียงให้กว้างกว่าขอบจอทีวี
นอกจากนี้ Sonos Arc Ultra ยังมีการเพิ่ม “custom colinear waveguides” (ท่อนำคลื่นเสียงแบบเรียงแถว) สำหรับลำโพงซ้าย กลาง และขวา ซึ่งช่วยให้การกระจายเสียงมีทิศทางที่แม่นยำมากขึ้น ทำให้เวทีเสียงด้านหน้ากว้างและลึกกว่ารุ่นเดิม

ผลลัพธ์ที่ได้คือระบบเสียง Dolby Atmos ที่สมจริงมากขึ้น คุณจะได้ยินเสียงเคลื่อนที่ในสามมิติได้อย่างชัดเจน เช่น เสียงเฮลิคอปเตอร์บินผ่านเหนือศีรษะ หรือเสียงฝนตกบนหลังคาที่ดูเหมือนมาจากเพดานห้องจริงๆ
แน่นอนว่าประสิทธิภาพของ Dolby Atmos จะขึ้นอยู่กับลักษณะห้องของคุณด้วย โดยเฉพาะความสูงของเพดาน ห้องที่มีเพดานสูงปานกลาง (ประมาณ 2.4-2.7 เมตร) และมีผนังที่สะท้อนเสียงได้ดีจะให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
แต่ก็มีแอบเสียดายอยู่บ้างที่ Sonos Arc Ultra ไม่รองรับระบบเสียงแบบ DTS ใดๆ เลย ดังนั้นหากคุณมีคอลเลกชันแผ่นบลูเรย์ที่ใช้ DTS เป็นหลัก อาจต้องพิจารณาตัวเลือกอื่น แต่ถ้าคุณส่วนใหญ่ดูคอนเทนต์จากบริการสตรีมมิงอย่าง Netflix ที่ใช้ Dolby Atmos เป็นมาตรฐาน ก็ไม่ต้องกังวลอะไร

การเชื่อมต่อและการใช้งาน
สำหรับการเชื่อมต่อ Sonos Arc Ultra มีการปรับปรุงที่น่าสนใจ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการที่คุณควรรู้ไว้ก่อนตัดสินใจซื้อ
สิ่งที่เรายังแอบเสียดาอยู่ก็คือการที่ Sonos Arc Ultra ยังคงมีพอร์ต HDMI เพียงพอร์ตเดียวเช่นเดียวกับรุ่นเดิม แม้จะเป็นพอร์ต HDMI eARC ที่รองรับการส่งผ่านเสียงคุณภาพสูงได้ แต่การไม่มี HDMI input เพิ่มเติมอาจเป็นปัญหาสำหรับผู้ใช้ที่มีอุปกรณ์เล่นเกมหรือเครื่องเล่นมีเดียหลายเครื่อง โดยเฉพาะถ้าทีวีของคุณมีพอร์ต HDMI 2.1 ไม่พอสำหรับต่อหลายๆ อุปกรณ์
แต่ก็มีเรื่องดีคือการมาถึงของ Bluetooth 5.3 ที่หายไปในรุ่นเดิม ทำให้คุณสามารถสตรีมเพลงจากสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องผ่านแอพ Sonos หรือ Wi-Fi นอกจากนี้ยังรองรับ Wi-Fi 6 ที่เร็วและเสถียรกว่า พร้อมกับ Apple AirPlay 2 ที่ทำให้ผู้ใช้อุปกรณ์ Apple สามารถส่งเสียงไปยัง Arc Ultra ได้โดยตรง
สำหรับการเชื่อมต่อเข้ากับระบบ Sonos อื่นๆ มีความเปลี่ยนแปลงที่ต้องรู้คือ Sonos Arc Ultra ไม่รองรับอุปกรณ์รุ่นเก่าบางรุ่นแล้ว เช่น Play:1, Play:3, Play:5 และโคมไฟ IKEA Symfonisk รุ่นแรก รวมถึง Connect
ดังนั้นหากคุณมีอุปกรณ์ Sonos รุ่นเก่าอยู่และหวังจะอัพเกรดมาใช้งานร่วมกับ Sonos Arc Ultra อาจต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้ดี
ทาง Sonos แนะนำว่าคู่หูที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ Arc Ultra คือ Sub 4 (ซับวูฟเฟอร์รุ่นใหม่) และลำโพง Era 300 สองตัวทำหน้าที่เป็นลำโพงหลัง เพื่อให้ได้เสียงแบบเซอร์ราวด์โอบล้อมแบบครบเซ็ต ซึ่งหากซื้อทั้งชุดแม้จะมีส่วนลด แต่ราคาก็สูงถึงประมาณ 120,000 บาท ซึ่งเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างสูงพอสมควร


นอกจากนี้ Sonos Arc Ultra ยังรองรับการทำงานร่วมกับหูฟัง Sonos Ace ด้วยฟีเจอร์ TV Swap ที่ช่วยให้คุณสามารถสลับเสียงระหว่างซาวด์บาร์มาที่หูฟังได้อย่างราบรื่น เช่น เมื่อมีคนในบ้านกำลังนอนแล้วคุณยังอยากดูหนังเสียงดังๆ
การติดตั้งและเชื่อมต่อ Sonos Arc Ultra ทำได้ง่ายมาก เพียงเสียบสาย HDMI ที่ให้มาในกล่องเข้ากับพอร์ต HDMI ARC/eARC ของทีวี และเสียบปลั้กไฟ จากนั้นดาวน์โหลดแอพ Sonos และทำตามขั้นตอนง่ายๆ ในการตั้งค่า คุณสามารถติดตั้งได้ทั้งแบบวางบนโต๊ะทีวีหรือติดตั้งกับผนังโดยใช้ขายึดที่ขายแยกต่างหาก
ในการใช้งานครั้งแรก เราแนะนำให้ปรับแต่งเสียงด้วยระบบ Trueplay เพื่อให้ได้มิติเสียงที่เหมาะสำหรับห้องที่เรารับชมที่สุด
ส่วนการควบคุมการทำงาน ทำได้หลายวิธี ทั้งผ่านแอพ Sonos, รีโมททีวีของคุณ (ผ่าน HDMI-CEC), ปุ่มควบคุมสัมผัสบนซาวด์บาร์ หรือการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Sonos Voice Control, Amazon Alexa หรือ Google Assistant แต่มีข้อควรระวังคือคุณไม่สามารถใช้ Google Assistant ร่วมกับระบบอื่นได้ในเวลาเดียวกัน
สรุปแล้ว การเชื่อมต่อของ Sonos Arc Ultra มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ข้อดีคือการเพิ่ม Bluetooth และ Wi-Fi 6 ในขณะที่ข้อจำกัดคือการมีพอร์ต HDMI เพียงพอร์ตเดียวและการไม่รองรับอุปกรณ์ Sonos รุ่นเก่า

คุณภาพเสียง
Sonos Arc Ultra สร้างความประทับใจด้านคุณภาพเสียงอย่างมาก หลังจากทดสอบกับทั้งเพลง ภาพยนตร์ และเกม ผมพบว่ามีการพัฒนาที่โดดเด่นหลายด้านเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม
คุณภาพเสียงเมื่อฟังเพลง ซาวด์บาร์รุ่นนี้ถ่ายทอดเสียงเพลงได้ยอดเยี่ยม เสียงมีความชัดเจน แม่นยำ และโปร่งกว่ารุ่นเดิม แม้ในเพลงที่มีเครื่องดนตรีหลายชิ้นและจังหวะซับซ้อน Arc Ultra ยังสามารถรักษาความเป็นระเบียบของเสียงได้ดี เสียงร้องโดดเด่นชัดเจนและไม่ถูกกลบด้วยเสียงดนตรีประกอบ
ประสิทธิภาพเสียงเบส จุดที่ได้รับการปรับปรุงมากที่สุดคือคุณภาพของเสียงเบส เบสของ Arc Ultra มีความลึก กระชับ และมีรายละเอียดมากขึ้น เสียงเบสมีความคล่องตัวและมีมิติที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่มีความหนักแน่น แต่มีความชัดเจนและเที่ยงตรง ที่สำคัญคือไม่มีเสียงรบกวน “หึ่ง” จากตัวลำโพงแม้จะเล่นเสียงเบสที่ลึกและหนักมาก
การทดสอบฟังเพลง เราได้เชื่อมต่อ Apple Music ผ่านทางแอป Sonos เพื่อสร้งเพลย์ลิสต์และเลือกเพลงเพื่อเล่นได้จากในแอป โดยไม่จำเป็นต้องเข้าแอป Apple Music เพื่อเล่นเพลง ทำให้ทุกคนในบ้านที่ได้รับอนุญาตใช้งานแอป Sonos เล่นเพลงจากในนี้ได้เลย

ตัวคุณภาพของเพลงนั้น รองรับเสียงรอบด้านแบบ Dolby Atmos ทำให้ในหลายๆ เพลงที่รองรับและมีการแยกชิ้นเครื่องดนตรีและออกแบบตำแหน่งเสียงแบบโอบล้อม เพื่อเล่นเพลงไม่ใช่แค่แต่ละเครื่องดนตรีจะมีความคมชัด แต่ยังมีทิศทางเสียงที่สมจริงเหมือนเรานั่งอยู่ในเวทีคอนเสิร์ต

คุณภาพเสียงในการรับชมภาพยนตร์ สำหรับการรับชมภาพยนตร์ Arc Ultra สร้างประสบการณ์แบบโรงภาพยนตร์ได้อย่างน่าทึ่ง เสียงบทสนทนาชัดเจนและโดดเด่น แม้ในฉากที่มีเสียงประกอบมากมาย เสียงเอฟเฟกต์เล็กๆ น้อยๆ ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างชัดเจน สร้างความรู้สึกเหมือนอยู่ในฉากนั้นจริงๆ

เสียงแบบ Spatial Audio และ Dolby Atmos Sonos Arc Ultra สร้างเสียง Dolby Atmos ได้อย่างน่าประทับใจ เสียงดูเหมือนมาจากทุกทิศทาง ทั้งด้านบน ด้านข้าง และด้านหลัง เอฟเฟกต์เสียงได้รับการวางตำแหน่งอย่างแม่นยำในพื้นที่เสียงสามมิติ ทำให้การรับชมภาพยนตร์มีความสมจริงมากขึ้น แม้ว่าคุณจะไม่มีลำโพงติดตั้งที่เพดานก็ตาม

สำหรับการเล่นเกม ทดสอบกับ PlayStation 5 ระบบเสียงจาก Sonos Arc Ultra แยกชัดในแต่ละย่านได้ดี และยังเลือกปรับระบบเสียงแบบ 3D เพื่อให้ได้มิติของเสียงที่โอบล้อมมากยิ่งขึ้นกับเกมแนวยิงและแอคชั่น เพิ่มอรรถรสของเกมที่สนุกยิ่งขึ้น
เปรียบเทียบกับรุ่นเดิม เมื่อเทียบกับ Arc รุ่นเดิม การยกระดับด้านคุณภาพเสียงของ Arc Ultra มีความชัดเจน ทั้งในด้านความแม่นยำ รายละเอียด การแยกชั้นเสียง และความสามารถในการสร้างเวทีเสียงที่กว้างและลึกกว่า แม้ว่า Arc รุ่นเดิมจะยังเป็นซาวด์บาร์ที่ดีมาก แต่ Arc Ultra ก้าวไปอีกระดับในทุกด้าน

ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์
การควบคุมและปรับแต่ง Sonos Arc Ultra ส่วนใหญ่จะทำผ่านแอปพลิเคชัน Sonos ซึ่งมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจหลายอย่าง แม้ว่าแอปก่อนหน้านี้อาจจะมีติดๆ ขัดๆ ในการใช้งานอยู่บ้าง แต่เวอร์ชันล่าสุดได้รับการปรับปรุงให้ประสบการณ์ที่ดีขึ้นมาก

หนึ่งในฟีเจอร์เด่นของ Sonos Arc Ultra คือระบบปรับแต่งเสียงอัตโนมัติ Trueplay ที่วิเคราะห์ลักษณะห้องของคุณและปรับเสียงให้เหมาะสมที่สุด ข่าวดีคือ Trueplay ใน Arc Ultra ใช้งานได้กับทั้งอุปกรณ์ iOS และ Android แล้ว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของซาวด์บาร์ Sonos ทำให้ผู้ใช้ Android ไม่ต้องยืมอุปกรณ์ iOS จากเพื่อนเพื่อปรับแต่งเสียงอีกต่อไป
Trueplay บน Arc Ultra มีสองโหมด คือ Quick Trueplay ที่ใช้ไมโครโฟนในตัวซาวด์บาร์เอง เป็นวิธีเดียวที่ผู้ใช้ Android สามารถใช้ได้ และ Advanced Trueplay ที่ใช้ไมโครโฟนของสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้ต้องเดินถือโทรศัพท์ไปทั่วห้อง ซึ่งเป็นแบบเดิมที่ใช้ใน Sonos มานาน และใช้ได้เฉพาะกับใน iPhone เท่านั้น
จากการทดสอบพบว่า Quick Trueplay ก็ทำงานได้ดีมากและให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างจาก Advanced Trueplay เพียงเล็กน้อย ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ Android และสำหรับคนที่ไม่สะดวกในการใช้งานแบบ Advanced

แอปพลิเคชัน Sonos มอบตัวเลือกในการปรับแต่งเสียงที่หลากหลาย สามารถปรับเสียงเบสและเสียงแหลมตามความชอบส่วนตัว ฟีเจอร์ Loudness ช่วยเพิ่มความหนักแน่นของเสียงเมื่อเปิดในระดับเสียงต่ำ (เปิดไว้โดยค่าเริ่มต้น) ส่วน Night Mode ช่วยลดระดับไดนามิกและเสียงเบส เหมาะสำหรับการรับชมในยามดึกโดยไม่รบกวนคนอื่น และ Speech Enhancement ช่วยปรับให้เสียงบทสนทนาชัดเจนยิ่งขึ้น มาพร้อมระดับความเข้มข้นที่ปรับได้ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่
Sonos Arc Ultra รองรับการควบคุมด้วยเสียงถึงสามระบบ ได้แก่ Sonos Voice Control ซึ่งเป็นระบบควบคุมเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ Sonos, Amazon Alexa ที่ควบคุมทั้งเครื่องเสียงและอุปกรณ์สมาร์ทโฮมอื่นๆ และ Google Assistant ที่เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในระบบนิเวศของ Google คุณสามารถเปิดใช้งาน Sonos Voice Control และ Alexa พร้อมกันได้ ทำให้ใช้ Sonos สำหรับควบคุมเพลงและ Alexa สำหรับควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮมอื่นๆ แต่ Google Assistant ไม่สามารถใช้งานร่วมกับระบบอื่นได้

นอกจากนี้ Sonos Arc Ultra ยังมีฟีเจอร์พิเศษอื่นๆ เช่น TV Swap ที่ช่วยให้สลับเสียงระหว่าง Arc Ultra กับหูฟัง Sonos Ace ได้อย่างราบรื่น, HDMI-CEC ที่ช่วยให้ควบคุมซาวด์บาร์ผ่านรีโมททีวีได้ และความสามารถ Multi-room Audio ที่ทำให้ใช้งานร่วมกับลำโพง Sonos อื่นๆ ในระบบเพื่อเล่นเพลงทั่วบ้าน แม้ว่าฟีเจอร์ซอฟต์แวร์จะดูเหมือนไม่ได้ตื่นเต้นเท่าฮาร์ดแวร์ แต่การปรับแต่งเสียงที่ดีและความสะดวกในการควบคุมก็ช่วยให้ประสบการณ์การใช้งาน Sonos Arc Ultra สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
คำแนะนำสำหรับการติดตั้งที่เหมาะสม
การติดตั้ง Sonos Arc Ultra ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดเริ่มต้นจากตำแหน่งการวาง โดยควรวางไว้ด้านหน้าทีวีที่มีความสูงเหมาะสม โดยไม่มีสิ่งกีดขวางด้านหน้าและด้านบนของซาวด์บาร์ เพื่อให้ลำโพงที่หันขึ้นด้านบนสามารถสะท้อนเสียงจากเพดานได้อย่างเต็มที่ ความสูงของเพดานที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 2.4-2.7 เมตร หากติดตั้งบนผนัง ควรให้มีระยะห่างจากทีวีประมาณ 10-15 ซม. และถ้าวางบนชั้นวางทีวี ควรวางให้ขอบด้านหน้าของ Arc Ultra อยู่ใกล้กับขอบด้านหน้าของชั้นวาง ไม่ควรวางไว้ในตู้หรือชั้นวางที่มีด้านข้างปิดทึบ เพราะจะทำให้เสียงด้านข้างถูกบดบัง

สภาพห้องก็มีผลต่อคุณภาพเสียงอย่างมาก ห้องที่ให้ประสิทธิภาพดีที่สุดคือห้องที่มีพื้นผิวผสมระหว่างผนังแข็ง (สะท้อนเสียงได้ดี) และพื้นที่ดูดซับเสียงบางส่วน เช่น โซฟา ผ้าม่าน หรือพรม ควรหลีกเลี่ยงห้องที่มีพื้นผิวสะท้อนเสียงทั้งหมด เช่น ห้องที่มีกระจกหรือผนังเรียบทั้งหมด หรือห้องที่มีการดูดซับเสียงมากเกินไป หลังจากติดตั้งเสร็จแล้ว อย่าลืมทำการปรับแต่งเสียงด้วยระบบ Trueplay เพื่อให้ Arc Ultra วิเคราะห์และปรับเสียงให้เหมาะกับสภาพห้องของคุณโดยเฉพาะ การทำ Trueplay ควรทำซ้ำเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ในห้องอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อจำกัดและข้อควรรู้
แม้ว่า Sonos Arc Ultra จะเป็นซาวด์บาร์ที่ยอดเยี่ยม แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะกับความต้องการและสภาพแวดล้อมการใช้งานของคุณจริงๆ
ประเด็นแรกที่ต้องพูดถึงคือการไม่รองรับระบบเสียง DTS ในทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับซาวด์บาร์ระดับพรีเมียมในราคานี้ หากคุณมีคอลเลกชันแผ่นบลูเรย์หรือมีเดียที่ใช้ DTS
หรือระบบเสียง DTS อื่นๆ เป็นหลัก คุณอาจจะผิดหวังที่ Arc Ultra ไม่สามารถถอดรหัสเสียงเหล่านี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ดูคอนเทนต์จากบริการสตรีมมิงซึ่งมักใช้ Dolby Atmos เป็นหลัก ก็อาจไม่ใช่ปัญหา

อีกหนึ่งข้อจำกัดสำคัญคือการมีพอร์ต HDMI เพียงพอร์ตเดียว เท่านั้น แม้จะเป็นพอร์ต eARC ที่มีคุณภาพสูง แต่การไม่มีพอร์ต HDMI input เพิ่มเติมอาจสร้างความไม่สะดวกสำหรับผู้ที่มีอุปกรณ์หลายเครื่อง โดยเฉพาะถ้าทีวีของคุณมีพอร์ต HDMI 2.1 จำกัด (ซึ่งเป็นเรื่องปกติในทีวีรุ่นใหม่หลายรุ่น) คุณจะต้องเสียพอร์ตหนึ่งไปกับการเชื่อมต่อ Arc Ultra ทำให้มีพอร์ตสำหรับเครื่องเล่นเกมหรืออุปกรณ์อื่นๆ ลดลง
สำหรับเจ้าของ ทีวีรุ่นเก่า ที่ไม่มี HDMI ARC หรือ eARC คุณจะต้องซื้ออะแดปเตอร์ HDMI to Optical แยกต่างหาก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังเล็กน้อยที่ Sonos ไม่ได้ให้มาในกล่อง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงราคาที่สูง นอกจากนี้ การใช้การเชื่อมต่อแบบ Optical จะทำให้คุณไม่สามารถใช้งานระบบเสียง Dolby Atmos ได้เต็มประสิทธิภาพ
อีกข้อจำกัดที่ควรรู้คือ การรองรับอุปกรณ์ Sonos รุ่นเก่า ที่ลดลง Arc Ultra ไม่สามารถทำงานร่วมกับ Play:1, Play:3, Play:5 และ IKEA Symfonisk รุ่นแรก รวมถึง Connect ได้อีกต่อไป หากคุณมีอุปกรณ์เหล่านี้และหวังว่าจะสามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบเสียงรอบทิศทาง คุณอาจต้องลงทุนเพิ่มในอุปกรณ์รุ่นใหม่

สำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์ Dolby Atmos ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น การใช้ Arc Ultra เพียงลำพังอาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แม้จะสร้างเสียงที่ดีได้ แต่การเพิ่มลำโพง Era 300 เป็นลำโพงหลังและ Sub 4 เป็นซับวูฟเฟอร์จะช่วยยกระดับประสบการณ์อย่างมาก แต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงมาก (รวมแล้วประมาณ 120,000 บาท)
สุดท้าย แม้ว่า Sound Motion จะเป็นเทคโนโลยีที่น่าทึ่งสำหรับเสียงเบส เพราะคุณจะได้เสียงเบสที่น่าพอใจในตัวซาวด์บาร์ตัวเดียว เหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการเชื่อมต่อหรือมีพื้นที่จำกัด แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบเสียงเบสที่หนักแน่นและลึกมากๆ การเพิ่ม Sonos Sub อาจยังเป็นสิ่งจำเป็น
แม้จะมีข้อจำกัดเหล่านี้ แต่ในภาพรวมแล้ว Sonos Arc Ultra ยังคงเป็นซาวด์บาร์ที่ยอดเยี่ยม การรู้ข้อจำกัดเหล่านี้ก่อนการซื้อจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าเหมาะกับความต้องการของคุณหรือไม่

สรุป รีวิว Sonos Arc Ultra
หลังจากที่ได้ทดสอบ รีวิว Sonos Arc Ultra มาสักพักใหญ่ เราต้องยอมรับว่านี่คือหนึ่งในซาวด์บาร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตลาดปัจจุบัน แม้จะมาพร้อมราคาที่สูงถึง 49,990 บาท แต่คุณภาพเสียงและนวัตกรรมที่ได้รับก็คุ้มค่ากับการลงทุน
ก่อนหน้านี้เราเคยรีวิว Sonos Arc มาก่อนแล้ว ก็สัมผัสได้ทันทีในเรื่องของเสียงที่ดูมีมิติมากขึ้น โดยเฉพาะเสียงเบสที่ได้เทคโนโลยี Sound Motion ที่ปฏิวัติวงการลำโพงเบส ให้คุณภาพเสียงเบสที่ลึก กระชับ และมีรายละเอียดมากขึ้นในขนาดที่กะทัดรัด การอัพเกรดระบบลำโพงเป็นแบบ 9.1.4 แชนแนล ช่วยให้เสียง Dolby Atmos มีความสมจริงและน่าประทับใจ ส่วนการเพิ่ม Bluetooth ที่หายไปในรุ่นเดิมก็เป็นการแก้ไขข้อบกพร่องที่ลูกค้าเรียกร้องมานาน

ด้านคุณภาพเสียงโดยรวม Arc Ultra ให้เสียงที่สมดุล มีรายละเอียดสูง สร้างเวทีเสียงที่กว้างและลึก และมีไดนามิกที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะฟังเพลง ดูหนัง หรือเล่นเกม นอกจากนี้ ระบบ Trueplay ที่รองรับ Android แล้วยังช่วยให้ประสบการณ์การฟังดียิ่งขึ้นโดยปรับเสียงให้เหมาะกับห้องของคุณ
อย่างไรก็ตาม Arc Ultra ไม่ได้สมบูรณ์แบบ การไม่มีพอร์ต HDMI input และการไม่รองรับ DTS เป็นข้อจำกัดที่น่าผิดหวัง โดยเฉพาะในซาวด์บาร์ระดับพรีเมียม ส่วนแอปพลิเคชัน Sonos ถึงแม้จะได้รับการปรับปรุงแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจทำให้หงุดหงิดได้
สำหรับคำถามที่ว่า “ควรซื้อ Arc Ultra หรือไม่?” คำตอบขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของคุณ
Sonos Arc Ultra เหมาะสำหรับคุณถ้า:
- คุณต้องการซาวด์บาร์เดี่ยวที่ให้เสียงคุณภาพสูงและเสียงเบสที่ทรงพลัง
- คุณชื่นชอบการฟังเพลงและดูหนังในระดับเดียวกัน
- คุณต้องการเริ่มต้นระบบเสียง Sonos ที่สามารถขยายได้ในอนาคต
- คุณมีทีวีที่รองรับ HDMI eARC และใช้บริการสตรีมมิงที่รองรับ Dolby Atmos เป็นหลัก
คุณอาจต้องพิจารณาตัวเลือกอื่นถ้า:
- คุณมีงบประมาณจำกัด เราแนะนำว่า Arc รุ่นเดิมที่กำลังลดราคาอาจเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่า
- คุณมีคอลเลกชันแผ่น Bluray ในรูปแบบเสียง DTS จำนวนมาก
- คุณมีอุปกรณ์ HDMI หลายเครื่องและทีวีมีพอร์ต HDMI 2.1 จำกัด
- คุณต้องการระบบเสียงรอบทิศทางแบบเต็มรูปแบบในราคาที่ต่ำกว่า
โดยสรุปแล้ว Sonos Arc Ultra คือการยกระดับที่น่าประทับใจจากรุ่นเดิม และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Sonos ในการพัฒนานวัตกรรมด้านเสียง เทคโนโลยี Sound Motion มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับลำโพงเบสในอนาคต และทำให้ Arc Ultra กลายเป็นซาวด์บาร์ที่น่าจับตามองในปี 2025 นี้
แม้จะมาพร้อมราคาที่สูง แต่สำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพเสียงและมองหาซาวด์บาร์ระดับพรีเมียมที่ให้ประสบการณ์การฟังที่เหนือชั้น Sonos Arc Ultra คือตัวเลือกที่คุ้มค่าและน่าพิจารณาอย่างยิ่ง
Sonos Arc Ultra วางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ร้าน dotlife รวมถึงช่องทางออนไลน์ที่ sonosthailand.com และ Lazada ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ sonosthailand.com หรือ Instagram และ LINE @sonosthailandofficial
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok