Xiaomi เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล Redmi Note ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในตลาดระดับกลาง กับ Redmi Note 14 Pro+ 5G ในสีใหม่ “Sand Gold” ที่เน้นความพรีเมียมและหรูหรา สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ยังคงรักษาจุดเด่นที่ทำให้ซีรีส์นี้ได้รับความนิยม นั่นคือการนำเสนอเทคโนโลยีและฟีเจอร์ระดับแฟลกชิปในราคาที่จับต้องได้ โดดเด่นด้วยกล้องความละเอียดสูงถึง 200MP, เทคโนโลยีการชาร์จไวด้วยกำลัง 120W และการป้องกันน้ำและฝุ่นมาตรฐาน IP68 มาดูกันว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนี้น่าสนใจแค่ไหน
ดีไซน์และสีสัน – Sand Gold

Redmi Note 14 Pro+ 5G ในสี Sand Gold ที่เปิดตัวใหม่นี้ โดดเด่นด้วยโทนสีทองทรายที่ให้ความรู้สึกหรูหราและเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างไปจากสีทั่วไปที่เราคุ้นเคยในตลาด ผิวสัมผัสด้านหลังมีลักษณะพิเศษที่ให้ความรู้สึกเหมือนทรายละเอียด แต่ไม่ทำให้รู้สึกหยาบมือ ตรงกันข้าม กลับให้สัมผัสที่นุ่มนวลและดูพรีเมียม สะท้อนแสงได้อย่างสวยงามโดยไม่ดูฉูดฉาดจนเกินไป

ตัวเครื่องได้รับการออกแบบให้มีขนาดและน้ำหนักที่สมดุล ทำให้จับถือได้อย่างสบายแม้จะใช้งานเป็นเวลานาน ขอบเครื่องมีความโค้งมนที่พอดีกับฝ่ามือ ทำให้การจับถือและการใช้งานด้วยมือเดียวทำได้ง่ายขึ้น

การจัดวางโมดูลกล้องด้านหลังได้รับการออกแบบให้ดูเรียบหรู เชื่อมต่อกับตัวเครื่องได้อย่างลงตัว วางอยู่ในตำแหน่งสมมาตรที่ด้านหลัง เสริมความสวยงามที่ดูเป็นระเบียบ

นอกจากนี้ ตัวโมดูลกล้องหลัง ยังได้รับการออกแบบมาให้มีความนูนจากตัวเครื่องไม่มากจนเกินไป ทำให้เวลาวางเครื่องบนพื้นเรียบแล้วไม่โยกเยก

ด้านหน้าของตัวเครื่องครอบด้วยกระจก Corning Gorilla Glass Victus 2 ที่ช่วยเพิ่มความทนทานต่อการกระแทกและรอยขีดข่วน ด้วยความหนาที่เหมาะสม ทำให้ตัวเครื่องมีความแข็งแรงโดยไม่ส่งผลต่อความรู้สึกหนักเมื่อพกพา ขอบจอบางเฉียบช่วยเพิ่มพื้นที่หน้าจอให้ใหญ่ขึ้น มอบประสบการณ์การรับชมที่เต็มตา

การจัดวางปุ่มควบคุมและพอร์ตต่างๆ ยังคงยึดตามแนวทางที่เป็นมาตรฐานของ Xiaomi คือปุ่มเปิด-ปิดเครื่องและปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ทางด้านขวาของตัวเครื่อง ด้านล่างมีพอร์ต USB-C สำหรับชาร์จไฟและถ่ายโอนข้อมูล ลำโพงสเตอริโอ 2 ตัวที่ให้เสียงชัดเจนและมีมิติ ส่วนถาดซิมการ์ดรองรับทั้งการใส่ซิมการ์ดแบบ nano SIM 2 ช่อง หรือ nano SIM + eSIM ให้ความยืดหยุ่นในการใช้งาน

จุดเด่นด้านการถ่ายภาพ – กล้อง AI คมชัดระดับมืออาชีพ
จุดเด่นหลักของ Redmi Note 14 Pro+ 5G อยู่ที่ระบบกล้องหลังความละเอียดสูงถึง 200MP พร้อมเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ 1/1.4 นิ้ว และรูรับแสง f/1.65 ที่กว้าง ช่วยให้รับแสงได้มากในสภาพแสงน้อย นอกจากนี้ ยังมีระบบกันสั่น OIS (Optical Image Stabilization) ที่ช่วยลดอาการภาพเบลอจากการสั่นของมือ ทำให้ภาพถ่ายและวิดีโอมีความคมชัดมากขึ้น โดยเฉพาะในสภาพแสงน้อย เทคโนโลยี 16-in-1 pixel binning ช่วยรวมพิกเซลเข้าด้วยกันเพื่อจับแสงได้มากขึ้น ให้ภาพที่สว่างและมีรายละเอียดสูง

ระบบกล้องยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ AI ที่หลากหลาย เช่น Dynamic shots ที่ช่วยจับภาพวัตถุเคลื่อนไหวได้อย่างคมชัด, Motion tracking focus ที่ติดตามวัตถุเคลื่อนที่ได้อย่างแม่นยำ และ Lightning Burst ที่ช่วยให้ถ่ายภาพต่อเนื่องได้อย่างรวดเร็ว นอกจากกล้องหลักแล้ว ยังมีกล้อง ultra-wide 8MP และ macro 2MP ที่เพิ่มความหลากหลายในการถ่ายภาพ ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 20MP ให้ภาพเซลฟี่ที่คมชัดและสวยงามเป็นธรรมชาติ

การถ่ายพอร์ตเทรตสามารถถ่ายได้สวยงาม ทั้งการโฟกัสจับภาพนางแบบแยกจากฉากหลัง พร้อมทำฉากเบลออย่างมีมิติเป็นธรรมชาติ พร้อมเอฟเฟกต์ที่ช่วยให้เก็บภาพสวยๆ ได้อย่างที่ต้องการ




🔺 ตัวอย่างภาพพอร์ตเทรตที่ถ่ายด้วย Redmi Note 14 Pro+ 5G
คุณสมบัติ AI ในการแต่งภาพจะมี AI Erase Pro ที่ช่วยลบวัตถุไม่พึงประสงค์ออกจากภาพได้อย่างเนียน และ AI Image Expansion ที่ช่วยขยายภาพโดยไม่สูญเสียคุณภาพ ฟีเจอร์เหล่านี้ทำให้การถ่ายภาพด้วย Redmi Note 14 Pro+ 5G มีความยืดหยุ่นและสร้างสรรค์มากขึ้น

AI Erase Pro ให้คุณลบคนที่อยู่เกะกะในภาพได้ง่ายๆ เพียงแค่ให้ AI สแกนหาคนที่อยู่ในภาพทั้งหมด จากนั้นก็ไล่แตะลบคนที่ไม่ต้องการออกไป แค่นี้ก็ได้ภาพถ่ายที่สวยคลีนๆ สะอาดตาแล้ว


🔺 เทียบกันระหว่างภาพก่อนลบและหลังลบด้วย AI Erase Pro


AI Image Expansion ในบางครั้งที่รูปถ่ายมาแต่อยาก crop ปรับสัดส่วนภาพใหม่ ปรากฎว่าต้องครอบขยายออก โหมดนี้จะช่วยสร้างภาพเติมบริเวณขอบที่ขาดหายไปได้อย่างแนบเนียน


🔺 เทียบกันระหว่างภาพต้นฉบับ และครอบขยายพื้นที่ด้านข้างและบนด้วย AI Image Expansion
แบตเตอรี่และการชาร์จ – ไฮเปอร์ชาร์จ 120W

Redmi Note 14 Pro+ 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5110 mAh ที่ให้พลังงานเพียงพอสำหรับการใช้งานตลอดทั้งวัน แม้จะใช้งานหนักก็ตาม ความจุแบตเตอรี่ในระดับนี้ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การท่องเว็บ, การใช้โซเชียลมีเดีย, การถ่ายภาพ, หรือแม้แต่การเล่นเกมต่อเนื่องหลายชั่วโมง
จุดเด่นสำคัญคือเทคโนโลยี 120W HyperCharge ที่ช่วยให้ชาร์จแบตเตอรี่จาก 0% เป็น 100% ได้อย่างรวดเร็วใน เวลาเพียงไม่กี่สิบนาที นับเป็นข้อได้เปรียบสำคัญเมื่อคุณมีเวลาจำกัดและต้องการชาร์จไฟอย่างเร่งด่วน ที่สำคัญ Xiaomi ได้ใส่อะแดปเตอร์ชาร์จกำลัง 120W มาในกล่องด้วย ทำให้ไม่ต้องซื้อหัวชาร์จเพิ่มเติม
นอกจากนี้ Redmi Note 14 Pro+ 5G ยังมาพร้อมเทคโนโลยีการจัดการพลังงานอัจฉริยะที่ช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ โดยปรับการทำงานของระบบให้เหมาะสมกับรูปแบบการใช้งาน เช่น การลดการใช้พลังงานของแอปพลิเคชันในพื้นหลัง หรือการปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้ประหยัดพลังงานโดยไม่กระทบต่อประสบการณ์การใช้งาน

ประสิทธิภาพการทำงาน – ชิปเซ็ต Snapdragon 7s Gen 3
Redmi Note 14 Pro+ 5G ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 7s Gen 3 ที่ผลิตด้วยกระบวนการ 4nm ทันสมัย ประกอบด้วย CPU แบบ Octa-core ที่มีความเร็วสูงสุดถึง 2.5GHz และ GPU Qualcomm Adreno ที่รองรับการประมวลผลกราฟิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชิปเซ็ตนี้ถือเป็นรุ่นสำคัญในซีรีส์ระดับกลาง ที่ให้สมดุลระหว่างประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปและการเล่นเกมในระดับปานกลางถึงสูง
ความจุ RAM 12GB แบบ LPDDR4X ช่วยให้การทำงานแบบมัลติทาสกิ้งเป็นไปอย่างราบรื่น สามารถเปิดแอปพลิเคชันหลายตัวพร้อมกันได้โดยไม่สะดุด ส่วนความจุภายในแบบ UFS2.2 ขนาด 512GB ให้พื้นที่เพียงพอสำหรับการเก็บแอปพลิเคชัน, รูปภาพ, วิดีโอ และไฟล์ต่างๆ โดยไม่ต้องกังวลว่าพื้นที่จะหมดเร็ว

🔺 ทดสอบลองเล่นเกมกับ RoV สามารถเลือกปรับเล่นในโหมดเฟรมเรตสูงที่ 60fps ได้เสถียรนิ่งๆ ไม่มีแกว่ง
Redmi Note 14 Pro+ 5G มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก MIUI โดยเน้นความเร็ว, ความเสถียร และการตอบสนองที่รวดเร็ว อินเทอร์เฟซที่เรียบง่ายแต่ใช้งานง่าย พร้อมฟีเจอร์การปรับแต่งที่หลากหลาย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าจอให้ตรงกับความต้องการได้
ความทนทาน – การป้องกันฝุ่นและน้ำมาตรฐาน IP68

ความทนทานเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ Redmi Note 14 Pro+ 5G ด้วยการรับรองมาตรฐาน IP68 สำหรับการป้องกันฝุ่นและน้ำ ทำให้สามารถทนต่อการแช่น้ำที่ความลึกสูงสุด 1.5 เมตร เป็นเวลานานถึง 30 นาที คุณสมบัตินี้ช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าสมาร์ทโฟนจะไม่เสียหายง่ายเมื่อต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ฝนตก หรือการใช้งานใกล้แหล่งน้ำ อย่างไรก็ตาม ควรระวังว่าการรับประกันไม่ครอบคลุมความเสียหายจากของเหลวที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากเงื่อนไขการทดสอบมาตรฐาน
การออกแบบที่แข็งแรงและทนทานของ Redmi Note 14 Pro+ 5G ทำให้เหมาะกับผู้ใช้ที่มีไลฟ์สไตล์แอคทีฟ หรือต้องใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย โดยไม่ต้องกังวลว่าสมาร์ทโฟนจะเสียหายง่าย ความทนทานนี้ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ ทำให้คุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว
หน้าจอ – จอความละเอียด 1.5K 120Hz ถนอมสายตา

Redmi Note 14 Pro+ 5G มาพร้อมหน้าจอ CrystalRes AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ที่ให้ความละเอียดสูงถึง 2712 x 1220 พิกเซล (1.5K) ทำให้ภาพที่แสดงผลมีความคมชัดและสวยงาม อัตรารีเฟรชเรท 120Hz ช่วยให้การเลื่อนหน้าจอและการใช้งานทั่วไปมีความลื่นไหลยิ่งขึ้น ส่วนความสว่างสูงสุดที่ 3000 nits นับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนระดับเดียวกัน ช่วยให้สามารถใช้งานกลางแจ้งได้แม้ในวันที่แดดจัด

หน้าจอยังรองรับความลึกสี 12-bit ที่แสดงผลสีได้มากถึง 68.7 พันล้านสี และมีมาตรฐาน Dolby Vision ที่ช่วยให้การรับชมคอนเทนต์วิดีโอมีคุณภาพสูง พร้อมรองรับ HDR10+ ที่ปรับความสว่างและความเข้มของภาพให้เหมาะสมกับเนื้อหา ทำให้ประสบการณ์การรับชมวิดีโอสตรีมมิ่งและการเล่นเกมมีความสมจริงมากขึ้น
เทคโนโลยีถนอมสายตาเป็นอีกจุดเด่นของหน้าจอนี้ ด้วยระบบ 1920Hz PWM dimming ที่ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาเมื่อใช้งานเป็นเวลานาน พร้อมผ่านการรับรองจาก TÜV Rheinland ทั้งด้าน Low Blue Light, Circadian Friendly และ Flicker Free ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างสบายตา แม้ในที่มืดหรือใช้งานก่อนนอน คุณใช้สมาร์ทโฟนก่อนนอนแล้วรู้สึกปวดตาหรือนอนไม่หลับบ่อยๆ หรือไม่? เทคโนโลยีถนอมสายตาเหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้
การเชื่อมต่อและฟีเจอร์ AI
Redmi Note 14 Pro+ 5G รองรับการเชื่อมต่อ 5G ที่ให้ความเร็วในการดาวน์โหลดและอัปโหลดข้อมูลสูง รวมถึงความหน่วงต่ำ ทำให้การสตรีมวิดีโอคุณภาพสูง, การเล่นเกมออนไลน์, และการประชุมวิดีโอเป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ ยังรองรับ Bluetooth 5.4 ที่ให้การเชื่อมต่อเสถียรและประหยัดพลังงาน พร้อม NFC สำหรับการชำระเงินและการเชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นๆ

การรองรับ eSIM คือฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน โดยผู้ใช้สามารถใช้ได้ทั้งซิมการ์ดแบบ nano SIM 2 ช่อง หรือ nano SIM + eSIM ทำให้สามารถเปลี่ยนเครือข่ายได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมการ์ดทางกายภาพ สะดวกสำหรับผู้ที่เดินทางบ่อยหรือต้องการใช้หลายเครือข่ายในเครื่องเดียว


ฟีเจอร์ AI ที่โดดเด่นบน Redmi Note 14 Pro+ 5G มีหลากหลาย เช่น Circle to Search with Google ที่ช่วยให้สามารถค้นหาข้อมูลของวัตถุหรือข้อความได้ง่ายเพียงวงกลมบนหน้าจอ, AI Interpreter ที่ช่วยแปลภาษาแบบเรียลไทม์, AI Notes ที่ช่วยจัดระเบียบและสรุปโน้ตอย่างอัจฉริยะ, และ AI Recorder ที่สามารถถอดเสียงเป็นข้อความได้ ฟีเจอร์เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้การใช้งานในชีวิตประจำวันสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ราคา โปรโมชัน และความคุ้มค่า
Redmi Note 14 Pro+ 5G สี Sand Gold วางจำหน่ายในราคาพิเศษเพียง 13,990 บาท จากราคาปกติ 14,990 บาท สำหรับรุ่นความจุ 12GB+512GB ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับสเปกและฟีเจอร์ที่ได้รับ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงกล้อง 200MP, การชาร์จไว 120W, และความจุสูงถึง 512GB
นอกจากส่วนลดพิเศษแล้ว Xiaomi ยังมอบของสมนาคุณสุดคุ้มสำหรับผู้ที่ซื้อในช่วงโปรโมชัน โดยแถมฟรี Redmi Watch 4 และ Xiaomi Fan Festival Sport Bag & Sport Cap พร้อมประกัน รวมมูลค่าสูงถึง 16,070 บาท ซึ่งถือเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจมากสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนใหม่
แต่ต้องบอกว่าโปรโมชันพิเศษนี้มีระยะเวลาจำกัด เฉพาะในช่วงวันที่ 6 เมษายน ถึง 30 เมษายน 2568 เท่านั้น และจำหน่ายเฉพาะที่ Xiaomi Store ที่ร่วมรายการเท่านั้น ของสมนาคุณมีจำนวนจำกัด ดังนั้นผู้ที่สนใจควรรีบตัดสินใจก่อนหมดโปรโมชัน
เมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับราคาเดียวกัน Redmi Note 14 Pro+ 5G ถือว่าให้ความคุ้มค่าสูง ด้วยกล้องที่มีความละเอียดสูงกว่า, เทคโนโลยีการชาร์จที่เร็วกว่า, และความจุที่มากกว่า ในขณะที่สมาร์ทโฟนบางรุ่นจากแบรนด์อื่นอาจมีชิปเซ็ตที่ดีกว่า แต่อาจไม่มีความสมดุลของคุณสมบัติโดยรวมเท่ากับรุ่นนี้ ทำให้น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องในราคาที่จับต้องได้

Redmi Note 14 Pro+ 5G สี Sand Gold พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษ
วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว เฉพาะที่ Xiaomi Store เท่านั้น ในรุ่นความจุ 12GB+512GB ในราคาพิเศษ 13,990 บาท จากราคาปกติ 14,990 บาท
พิเศษยิ่งกว่านั้น ลูกค้าที่ซื้อ Redmi Note 14 Pro+ 5G สี Sand Gold จะได้รับของสมนาคุณฟรี! ได้แก่ Redmi Watch 4 และ Xiaomi Fan Festival Sport Bag & Sport Cap พร้อมประกัน รวมมูลค่าสูงถึง 16,070 บาท
โปรโมชันนี้จัดขึ้นเฉพาะที่ Xiaomi Store ที่ร่วมรายการเท่านั้น โดยของสมนาคุณมีจำนวนจำกัด สามารถเข้าร่วมโปรโมชันได้ตั้งแต่วันที่ 6-30 เมษายน 2568
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok