นินเทนโด อาจต้องยอมขาย Switch 2 ในราคาขาดทุนในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้ล่าสุด ที่ดูว่ายังไม่รู้ว่าจะไปจบที่ตรงไหน
แม้ว่า ทรัมป์ จะระงับมาตรการภาษีนำเข้าที่รุนแรงที่สุดสำหรับหลายประเทศเป็นเวลา 90 วัน แต่ยังคงเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 125% (ล่าสุดเป็น 145% แล้ว) ขณะที่สินค้านำเข้าจากประเทศอื่นๆ ยังคงต้องเสียภาษีอย่างน้อย 10% ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตเครื่องเล่นเกมรุ่นใหม่ล่าสุดของ นินเทนโด
ตามรายงานจาก Bloomberg นินเทนโดวางแผนผลิต Switch 2 ในเวียดนามให้มากที่สุด (ประมาณ 1 ใน 3 ของการผลิตทั้งหมด) ในช่วงที่มีการระงับภาษีสูงชั่วคราว และส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญที่มีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของยอดขายทั้งหมดของบริษัท
ฮิเดกิ ยาสุดะ นักวิเคราะห์จาก Toyo Securities กล่าวว่า “เราเชื่อว่าต้นทุนวัสดุของ Switch 2 อยู่ที่ประมาณ 400 ดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่านินเทนโดจะยังคงขายคอนโซลขาดทุนในสหรัฐฯ หากมีภาษี 10% แต่เป็นการขาดทุนที่บริษัทสามารถรับไหว”
ซึ่งแตกต่างจากกรณีของ โซนี ที่อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่า เนื่องจากการผลิต PlayStation ส่วนใหญ่อยู่ในจีน และอาจถูกบังคับให้ขึ้นราคา PS5 ในสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้

โรบิน จู นักวิเคราะห์จาก Bernstein ยังกล่าวเสริมว่านินเทนโดจะยอมขาดทุนและรักษาราคาไว้ที่ 450 ดอลลาร์หากภาษีนำเข้าจากเวียดนามยังคงอยู่ที่ 10% แต่หากภาษีเพิ่มเป็น 46% บริษัทอาจต้องขึ้นราคา Switch 2 อีก 50-100 ดอลลาร์
การที่นินเทนโดยอมขาย Switch 2 ในราคาขาดทุนถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ เนื่องจากไม่เหมือนกับ โซนี และ ไมโครซอฟท์ นินเทนโดไม่เคยขายคอนโซลในราคาขาดทุนมาก่อน โดยธุรกิจเกมถือเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท แม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มกระจายธุรกิจสู่ด้านอื่นๆ เช่น ภาพยนตร์และสวนสนุก
นินเทนโดเปิดตัว Switch 2 เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ ทรัมป์ จะประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับทุกประเทศ และเลื่อนการสั่งจองล่วงหน้าในสหรัฐฯ และแคนาดาเพื่อประเมินผลกระทบจากภาษี เมื่อมาตรการภาษีถูกระงับชั่วคราว บริษัทคงต้องการเริ่มการสั่งจองล่วงหน้าโดยเร็วเพื่อให้ทราบความต้องการของตลาดอเมริกาเหนือและปรับแผนการผลิตตามความเหมาะสม
ข้อมูลจาก : Engadget
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
