อยู่เมืองไทย อุบัติเหตุที่เสี่ยงทำให้สมาร์ตโฟนพังได้บ่อยที่สุดคือ เปียกน้ำ ตกน้ำ ยิ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ออกไปเล่นน้ำแล้วมือถือของเราจะไม่เปียก และบ่อยครั้งก็มักจะต้องเหวอเมื่อเครื่องโดนน้ำจนดับวูบไปต่อหน้าต่อตา
แน่นอนว่าใครๆ ก็ไม่อยากจะเจอกับปัญหานี้ แต่ช่วงเทศกาลทั้งทีทุกคนก็อยากเอาสมาร์ตโฟนพกไปเล่นน้ำถ่ายรูปสนุกๆ แต่ถ้าป้องกันแล้วเอาไม่อยู่ เรามี 6 ข้อต้องรู้เมื่อ สมาร์ตโฟนตกน้ำ หรือโดนน้ำจนเปิดไม่ติด ทั้งการเข้าใจมาตรฐานกันน้ำของเครื่อง สิ่งที่ควรทำทันที และข้อห้ามที่เด็ดขาด รวมถึงเคล็ดลับต่างๆ ที่อาจช่วยกู้ชีพให้สมาร์ตโฟนคู่ใจกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง
1. รู้มาตรฐานเครื่อง: เข้าใจก่อนว่าสมาร์ตโฟนของเรา กันน้ำได้มั้ย?
ก่อนที่จะตื่นตระหนกหาก สมาร์ตโฟนตกน้ำ สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรรู้คือสมาร์ตโฟนของคุณ กันน้ำมากน้อยแค่ไหน เพราะปัจจุบันสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ๆ มักจะมาพร้อมมาตรฐานการกันน้ำหรือที่เรียกว่า “มาตรฐาน IP” (Ingress Protection)
โดยมาตรฐาน IP ประกอบด้วยตัวเลข 2 ตัว เช่น IP67 หรือ IP68 โดยตัวเลขตัวแรกแสดงระดับการป้องกันฝุ่น ส่วนตัวเลขตัวที่สองแสดงระดับการป้องกันน้ำ เช่น
- IP67 สามารถแช่น้ำที่ความลึก 1 เมตร นาน 30 นาที
- IP68 สามารถแช่น้ำที่ความลึกมากกว่า 1 เมตร ตามที่ผู้ผลิตกำหนด (ส่วนใหญ่ 1.5-2 เมตร นาน 30 นาที)
- IP69: สามารถทนต่อการฉีดน้ำแรงดันสูง (8-10 MPa) และน้ำที่มีอุณหภูมิสูง (ไม่เกิน 80°C)
ถ้าดูกันจากสมาร์ตโฟนรุ่นเรือธงจากแบรนด์ยอดนิยมส่วนใหญ่มาพร้อมมาตรฐานกันน้ำ IP68 ทั้ง Apple iPhone รุ่น 12 ขึ้นไป Samsung Galaxy S ซีรีส์ใหม่ๆ รวมถึงสมาร์ตโฟนเรือธงจาก Xiaomi, OPPO, vivo, realme ฯลฯ ก็จะมีมาตรฐานกันน้ำมาให้ด้วยเช่นกัน
แต่สำหรับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ๆ ของแบรนด์ OPPO, vivo และ realme ที่เปิดตัวตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่รุ่นเรือธงแต่ในรุ่นระดับกลางไล่ลงมาจนถึงระดับเริ่มต้นเครื่องหลักพัน จะมาในมาตฐานที่ครบทั้ง IP67, IP68 และ IP69 ซึ่งช่วยทำให้มั่นใจในการใช้งานมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้สมาร์ตโฟนของคุณจะมีมาตรฐานกันน้ำ แต่ต้องเข้าใจว่ามาตรฐานนี้ทดสอบกับน้ำจืดเท่านั้น ไม่รวมน้ำทะเลหรือน้ำที่มีคลอรีน และความสามารถในการกันน้ำจะลดลงตามอายุการใช้งาน ดังนั้นถ้าสมาร์ตโฟนใช้มาหลายปี หรือเคยซ่อมมาก่อน ประสิทธิภาพในการกันน้ำก็จะลดลงไปด้วย
2. รู้จังหวะ: สิ่งแรกที่ต้องทำทันทีเมื่อสมาร์ตโฟนตกน้ำ
เมื่อสมาร์ตโฟนของคุณตกน้ำหรือโดนน้ำ จังหวะและความรวดเร็วในการตอบสนองคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดความเสียหาย โดยแยกตามประเภทของเครื่อง
สำหรับสมาร์ตโฟนที่มีมาตรฐานกันน้ำ อย่างน้อยคุณสามารถอุ่นใจได้ว่าถ้ายังอยู่ในระยะที่มาตรฐานกำหนด ก็อาจจะไม่เกิดผลกระทบอะไร ดังนั้นอย่างแรกก็คืออย่าทิ้งไว้ให้นานจนเกินไป และหลีกเลี่ยงการแช่ขังในน้ำเป็นเวลานานๆ จะดีที่สุด

จากนั้นให้ทำเครื่องให้แห้ง ด้วยการใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ด อย่าใช้ทิชชู่เด็ดขาด และถ้าสมาร์ตโฟนมีฟีเจอร์ขับน้ำออกจากลำโพงก็ให้กดสั่ง 2-3 เพื่อไม่ให้มีน้ำขังค้างในลำโพง
จากนั้นเช็คช่องเสียบต่างๆ ว่าแห้งสนิทหรือไม่ ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ควรเสียบชาร์จอย่างน้อย 1-2 ชม.หลังโดนน้ำ หรือจำเป็นจริงๆ ก็ให้ชาร์จแบบไร้สายแทน
ส่วนกรณีของสมาร์ตโฟนที่ไม่มีมาตรฐานกันน้ำ แล้วเผลอตกน้ำหรือเปียกน้ำ สิ่งแรกที่ควรทำคือ ปิดเครื่องทันทีหากว่าเครื่องยังเปิดอยู่ จากนั้นให้ถอดการ์ด SIM/microSD และอุปกรณ์เสริมทั้งหมด แล้วทำการซับน้ำภายนอกและเคาะเครื่องเบาๆ ให้น้ำไหลออก และห้ามชาร์จหรือเปิดเครื่องอีกครั้งจนกว่ามั่นใจว่าเครื่องแห้งสนิท

3. รู้ข้อห้าม: สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาดเมื่อสมาร์ตโฟนโดนน้ำ
เมื่อสมาร์ตโฟนโดนน้ำ ความตื่นตระหนกอาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดที่ทำให้ความเสียหายรุนแรงขึ้น ข้อห้ามต่อไปนี้ถือเป็น “กฎเหล็ก” ที่ไม่ควรละเมิดเด็ดขาด
- ห้ามเปิดเครื่องทันทีหลังโดนน้ำ เพราะอาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้
- ห้ามชาร์จแบตเตอรี่โดยเด็ดขาด เพราะกระแสไฟฟ้าจากที่ชาร์จเมื่อผสมกับความชื้นจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
- ห้ามใช้ไดร์เป่าผมหรือเครื่องเป่าลมร้อน เพราะความร้อนจะทำให้ชิ้นส่วนเสียหายและดันความชื้นเข้าไปลึกกว่าเดิม
- ห้ามเขย่าหรือสะบัดอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้น้ำกระจายไปทั่วภายในเครื่อง
- ห้ามกดปุ่มหรือสัมผัสหน้าจอซ้ำๆ เพราะอาจดันความชื้นเข้าสู่วงจรมากขึ้น
- ห้ามใช้วิธีแช่ในแอลกอฮอล์หรือน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ เพราะจะทำลายสารเคลือบและกาว
4. รู้วิธีทำให้แห้ง: เทคนิคทำให้สมาร์ตโฟนแห้งอย่างถูกต้อง
หลังจากดำเนินการตามขั้นตอนเบื้องต้นแล้ว ขั้นตอนสำคัญต่อไปคือการทำให้สมาร์ตโฟนแห้งสนิทอย่างถูกวิธี
โดยสิ่งแรกที่ต้องหลีกเลี่ยงกับความเชื่อผิดๆ ว่า “ข้าวสาร” ช่วยดูดความชื้นได้ดี แล้วเอาเครื่องไปหมกในถังใส่ข้าวสาร เพราะเอาจริงๆ แล้ว ข้าวสารมีประสิทธิภาพในการดูดความชื้นที่ต่ำมาก แถมมีความเสียงที่จะสร้างความเสียหายอื่นๆ อย่างเช่นทิ้งฝุ่นละอองหรือเศษข้าวในช่องต่างๆ ของเครื่องได้

วิธีที่ถูกต้อง เราแนะนำให้ใช้ซิลิกาเจลหรือสารดูดความชื้น ซึ่งเป็นซองเล็กๆ ใส่มากับขนม, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ เอามาใส่ในกล่องที่ปิดสนิท และวางสมาร์ตโฟนไว้ในแนวตั้งเพื่อให้น้ำและความชื้นไหลออก โดยทิ้งไว้อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง ในห้องอุณหภูมิปกติ หรือถ้าใครไม่มีอุปกรณ์ก็อาจจะใช้วิธีวางไว้ในที่แห้ง อากาศถ่ายเทได้ดี อย่าเอาไปตากแดด ก็สามารถทิ้งไว้จนแห้งสนิทก็ได้
แต่ถ้ากรณีที่เครื่องเปียกน้ำที่ไม่ใช่น้ำสะอาด อย่างเช่นน้ำทะเล หรือเครื่องดื่ม ชา กาแฟ อาหาร ฯลฯ ให้ทำการเช็ดเครื่องด้วยผ้าชุบน้ำสะอาดหมาดๆ ก่อนเพื่อลดความเข้มข้นของเกลือหรือน้ำตาล แล้วจึงทำให้แห้งตามวิธีข้างต้น
5. รู้วิธีแก้ไข: ทำอย่างไรเมื่อทำให้แห้งแล้วแต่ยังเปิดไม่ติด
หลังจากรอให้สมาร์ตโฟนแห้งสนิทตามเวลาที่แนะนำแล้ว แต่หากยังเปิดไม่ติดหรือมีอาการผิดปกติ ลองวิธีแก้ไขเบื้องต้นดังนี้
- ตรวจสอบแบตเตอรี่: ลองชาร์จเครื่องเมื่อแน่ใจว่าแห้งสนิทแล้ว ปล่อยให้ชาร์จอย่างน้อย 30 นาที
- ลองใช้ที่ชาร์จและสายชาร์จอื่น: บางครั้งพอร์ตชาร์จอาจเสียหาย
- ตรวจสอบคราบตะกอนที่พอร์ตชาร์จ: ใช้แปรงสีฟันเก่าที่สะอาดและแห้งสนิทแปรงเบาๆ

6. รู้เวลาขอความช่วยเหลือ: เมื่อไหร่ควรส่งร้านซ่อม
ถ้าหากพยายามทุกวิธีแล้ว แต่บางครั้งความเสียหายจากน้ำอาจรุนแรงเกินกว่าจะแก้ไขเองได้ ก็ควรส่งสมาร์ตโฟนให้ศูนย์บริารเมื่อพบสัญญาณเหล่านี้:
- มีรอยคราบน้ำในกล้องหรือใต้หน้าจอ
- เปิดเครื่องได้แต่ดับเอง หรือทำงานได้ไม่นาน
- เปิดติดแต่เครื่องร้อนผิดปกติขณะใช้งานหรือชาร์จ
- มีอาการกระตุกหรือทัชสกรีนทำงานผิดปกติ
- ไม่สามารถชาร์จได้หรือชาร์จไม่เต็ม
- มีเสียงแปลกๆ จากภายในเครื่อง
เราแนะนำให้ส่งร้านซ่อม ที่เป็นศูนย์บริการฯ ที่แม้ว่าความเสียหายจากการตกน้ำและความชื้นจะอยู่นอกเหนือการรับประกัน แต่ศูนย์บริการจะมีเครื่องมือและการซ่อมที่เป็นมาตรฐานที่จะช่วยให้มีโอกาสในการแก้ไขได้สำเร็จ

ดังนั้น ถ้าจะต้องไปเล่นน้ำสงกรานต์ หรือกิจกรรมที่ต้องเปียกหรือลงน้ำ แม้ว่าสมาร์ตโฟนของเราจะมีมาตรฐานกันน้ำ แต่อย่าได้เปรี้ยวห้าวใช้โดยไม่ป้องกันอะไรเลย อย่างน้อยควรหาเคสใส่เพื่อป้องกัน หรือใช้พวกซองซิปกันน้ำเพื่อป้องกันเอาไว้อีกชั้น เพราะถ้าพลาดจนเกิดความเสียหาย บางทีการซ่อมแซมหรือกู้ชีพให้เครื่องของเรากลับมาอาจจะทำให้คุณเสียทั้งเงินและความกังวลใจว่าจะรอดกลับมาได้หรือไม่
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok