ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ปี 2568

6 เทรนด์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ปี 2568 รับมือโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

การ์ทเนอร์ อิงค์ เปิดเผยเทรนด์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่สำคัญในปี 2568 ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งวิวัฒนาการของ Generative AI การกระจายศูนย์ทำงานดิจิทัล การพึ่งพากันในห่วงโซ่อุปทาน การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ การขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และภูมิทัศน์ภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

อเล็กซ์ ไมเคิลส์ นักวิเคราะห์อาวุโสของ การ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ผู้นำด้านความปลอดภัยและการจัดการความเสี่ยง หรือ Security and risk management (SRM) กำลังเผชิญกับความท้าทายและโอกาสที่หลากหลายพร้อมกันในปีนี้ โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อเปลี่ยนผ่านและสร้างความยืดหยุ่นให้เกิดขึ้นในองค์กร ความพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งสองด้านนี้ขององค์กรมีความสำคัญมากกว่าแค่การสร้างนวัตกรรม แต่เพื่อให้มั่นใจว่านวัตกรรมเหล่านั้นมีความปลอดภัยและยั่งยืนในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว”

1. GenAI มีผลต่อการพัฒนาโปรแกรมความปลอดภัยข้อมูล

ในอดีต ความพยายามและงบประมาณส่วนใหญ่ด้านความปลอดภัยมักมุ่งเน้นไปที่การป้องกันข้อมูลที่มีโครงสร้าง (Structured Data) เช่น ฐานข้อมูล อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ GenAI กำลังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับการพัฒนาโปรแกรมความปลอดภัยข้อมูล

แนวโน้มปัจจุบันเปลี่ยนไปเน้นการปกป้องข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Data) มากขึ้น อาทิ ข้อความ รูปภาพและวิดีโอ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฝึกฝนโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM)

ไมเคิลส์ กล่าวว่า “หลายองค์กรปรับกลยุทธ์การลงทุนไปอย่างสิ้นเชิง ส่งผลกระทบสำคัญต่อการฝึกฝนโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) การนำข้อมูลไปใช้ และกระบวนการอนุมาน ท้ายที่สุดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้เน้นย้ำถึงลำดับความสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผู้นำจะต้องรับมือให้ได้เมื่อต้องสื่อสารถึงผลกระทบของ GenAI ที่มีต่อโปรแกรมความปลอดภัยของพวกเขา”

2. การจัดการข้อมูลยืนยันตัวตนของเครื่องจักร

การใช้งาน GenAI บริการคลาวด์ ระบบอัตโนมัติ และแนวทางปฏิบัติ DevOps ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการใช้บัญชีและข้อมูลประจำตัวของเครื่องจักรสำหรับอุปกรณ์และเวิร์กโหลดซอฟต์แวร์เป็นไปอย่างแพร่หลาย หากไม่ได้รับการควบคุมและจัดการอย่างเหมาะสม ข้อมูลประจำตัวของเครื่องจักรเหล่านั้นอาจกลายเป็นเป้าโจมตีขององค์กร

การ์ทเนอร์ คาดการณ์ว่า ผู้บริหาร SRM กำลังได้รับแรงกดดันเพื่อนำแนวทาง Identity and Access Management (IAM) ที่แข็งแกร่งมาสร้างเป็นกลยุทธ์ป้องกันการโจมตี

จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้นำ IAM จำนวน 335 คนทั่วโลกของ การ์ทเนอร์ ในช่วงเดือนสิงหาคมและตุลาคม 2567 พบว่ามีทีมงาน IAM เพียง 44% เท่านั้นที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้าน Machine Identities ให้กับองค์กร ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการบูรณาการความร่วมมือทั่วทั้งองค์กรในการบริหารจัดการด้านนี้

3. Tactical AI เพื่อผลลัพธ์ที่วัดผลได้

ผู้นำ SRM กำลังเผชิญกับผลลัพธ์ที่หลากหลายจากการนำ AI ไปใช้ ทำให้เกิดการจัดลำดับความสำคัญใหม่ของโครงการต่าง ๆ และมุ่งเน้นไปที่ยูสเคสการใช้งานที่แคบลงที่สามารถวัดผลกระทบได้โดยตรง

การนำ AI ไปใช้เชิงกลยุทธ์มากขึ้นเหล่านี้จะปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติและเครื่องมือ AI ให้สอดคล้องกับเกณฑ์วัดที่มีอยู่ และเพิ่มการมองเห็นมูลค่าที่แท้จริงของการลงทุนด้าน AI

ไมเคิลส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ตอนนี้ผู้นำ SRM มีความรับผิดชอบชัดเจนในการรักษาความปลอดภัยการใช้งาน AI จากบุคคลที่สาม ปกป้องแอปพลิเคชัน AI ขององค์กร และปรับปรุงความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วย AI โดยมุ่งเน้นที่การปรับปรุงเชิงยุทธวิธีที่เป็นประโยชน์อย่างชัดเจนมากขึ้น พวกเขาสามารถลดความเสี่ยงสำหรับโปรแกรมความปลอดภัยทางไซเบอร์ของตนเองและแสดงความก้าวหน้าได้ง่ายขึ้น”

ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ปี 2568

4. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเทคโนโลยีความปลอดภัยทางไซเบอร์

จากการสำรวจองค์กรขนาดใหญ่ 162 แห่งของ การ์ทเนอร์ ในช่วงเดือนสิงหาคมและตุลาคม ปี 2567 พบว่าองค์กรใช้เครื่องมือความปลอดภัยทางไซเบอร์เฉลี่ยถึง 45 เครื่องมือ ด้วยจำนวนผู้ขายมากกว่า 3,000 ราย ในตลาดความปลอดภัยทางไซเบอร์ ทำให้ผู้นำ SRM จำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพชุดเครื่องมือความปลอดภัยให้เหมาะสม

การ์ทเนอร์ แนะนำให้องค์กรมุ่งสร้างความสมดุลระหว่างฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายสถาปนิก และฝ่ายวิศวกรด้านความปลอดภัย รวมถึงพันธมิตรอื่น ๆ เพื่อรักษาแนวทางความปลอดภัยที่เหมาะสม

เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ผู้บริหารควรรวมและตรวจสอบการควบคุมความปลอดภัยหลักและมุ่งเน้นไปที่สถาปัตยกรรมที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการจัดเก็บข้อมูล ผ่านการสร้างแบบจำลองภัยคุกคามและใช้เป็นปัจจัยขับเคลื่อนเทคโนโลยีขององค์กร เช่น การนำ AI มาใช้ในการประเมินความต้องการขั้นสูง

5. เพิ่มคุณค่ากับโปรแกรมการจัดการด้านพฤติกรรมและวัฒนธรรมความปลอดภัย

โปรแกรมการจัดการด้านพฤติกรรมและวัฒนธรรมความปลอดภัย หรือ Security Behavior and Culture Programs (SBCPs) ขององค์กรส่วนใหญ่ได้มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยผู้บริหาร SRM ที่มีประสิทธิภาพจะตระหนักถึงคุณค่าที่โปรแกรมเหล่านี้สามารถนำมาช่วยปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์

การ์ทเนอร์ คาดว่า GenAI เป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดในโปรแกรมเหล่านี้ โดยองค์กรที่รวมเทคโนโลยีนี้เข้ากับสถาปัตยกรรมที่อิงกับแพลตฟอร์มแบบบูรณาการในโปรแกรม SBCPs จะเผชิญกับเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เกิดจากพนักงานน้อยลง 40% ภายในปี 2569

เทรนด์นี้กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากหลายองค์กรตระหนักมากขึ้นว่าพฤติกรรมทั้งที่ดีและไม่ดีของมนุษย์เป็นองค์ประกอบสำคัญของความปลอดภัยทางไซเบอร์ กิจกรรมที่มุ่งเน้นด้านการสร้างวัฒนธรรมและพฤติกรรมจึงกลายเป็นแนวทางปฏิบัติสำคัญในการแก้ไขความเข้าใจและเสริมสร้างความเป็นเจ้าของความเสี่ยงทางไซเบอร์ในระดับมนุษย์

6. มุ่งแก้ไขปัญหาภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burn Out) ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์

การ์ทเนอร์ ชี้ว่าภาวะหมดไฟของผู้บริหาร SRM และทีมรักษาความปลอดภัยกลายเป็นข้อกังวลสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนทักษะในเชิงระบบ ความเครียดที่แพร่กระจายนี้มาจากความต้องการที่ไม่หยุดนิ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยขององค์กรที่ซับซ้อนสูงในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยภัยคุกคาม

ในขณะที่ต้องเผชิญกับกฎระเบียบและธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ผู้บริหารและทีมงานกลับถูกจำกัดทั้งอำนาจการสั่งการ การสนับสนุนจากผู้บริหาร และทรัพยากรที่จำเป็น

“ภาวะหมดไฟด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และผลกระทบต่อองค์กรต้องได้รับการรับรู้และเร่งแก้ไขเพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพของโปรแกรมความปลอดภัยทางไซเบอร์ ผู้บริหาร SRM ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดไม่เพียงแต่จัดลำดับความสำคัญและจัดการความเครียดของตนเองได้เท่านั้น แต่ยังต้องดูแลทีมงานเพื่อปลูกฝังความเป็นอยู่ที่ดีทั่วทั้งทีม และเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงานส่วนบุคคล” ไมเคิลส์ กล่าวในตอนท้าย

ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok

Online Content Manager with over 10 years of experience working in the news, technology, and telecom industries.