ประเทศไทยเตรียมแสดงศักยภาพความพร้อมการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพระดับโลก (Medical and Wellness Hub) ในงาน World Expo 2025 ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 13 เมษายน – 13 ตุลาคม 2568 ภายใต้แนวคิดหลัก “Designing Future Society for Our Lives” คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานกว่า 28.2 ล้านคน โดยมุ่งหวังต่อยอดดึงนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและนักลงทุนต่างชาติ เพื่อสร้างรายได้มหาศาลเข้าประเทศ
โอกาสทองของไทยบนเวทีโลก
ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พฤติกรรมและวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไป โดยหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น มุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการรักษา สถาบันด้านสุขภาพสากล (Global Wellness Institute: GWI) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจด้านการดูแลสุขภาพทั่วโลกมีแนวโน้มขยายตัวสูงถึง 8.6% ต่อปีจนถึงปี 2570 โดยจะมีมูลค่าตลาดสูงกว่า 8.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 306 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2563
จากแนวโน้มดังกล่าว รัฐบาลไทยได้กำหนดวิสัยทัศน์ Ignite Thailand มุ่งพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ.2566-2570) โดยมีเป้าหมายผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพโลก (Medical and Wellness Hub)
ศักยภาพที่ไทยจะได้รับจากการเข้าร่วมงาน
การเข้าร่วมงาน World Expo 2025 ครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อประเทศไทยในหลายด้าน ได้แก่
- ด้านสาธารณสุข เป็นโอกาสในการส่งเสริมและเผยแพร่นโยบายการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเป็นจุดหมายด้านสุขภาพระดับโลก พร้อมทั้งนำเสนอศักยภาพในการบริหารจัดการระบบสาธารณสุขไทย
- ด้านเศรษฐกิจ ช่วยขยายตลาดอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร สร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยขยายการลงทุนสู่ต่างประเทศ
- ด้านการท่องเที่ยว ส่งเสริมภาพลักษณ์การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก กระตุ้นการจ้างงานและการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่ขยายบริการสู่การดูแลสุขภาพแบบครบวงจร (Wellness Center)
- ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เสริมสร้างความร่วมมือกับนานาประเทศ เปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์

Thailand Pavilion: สร้างสรรค์ชีวิตเพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่
อาคารนิทรรศการไทยได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด “THAILAND Connecting Lives for Greatest Happiness” และ “Thai-Smile Connecting Happiness World Destination” นำเสนอเรื่องราวของประเทศไทยผ่าน 3 โซนหลัก:
โซนภูมิวิถี: มหัศจรรย์แห่งดินแดนสยาม
นำเสนอความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และอาหารไทย ผ่านการจัดแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ อาทิ “หมุดหมายสุขภาพโลก” ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัยรูปทรง “จอมแห” และการจัดแสดง “10 มนต์เสน่ห์ของประเทศไทย” ที่นำเสนอผ่านประติมากรรมสำรับอาหารขนาดใหญ่

โซนภูมิคุ้มกัน: ศักยภาพการแพทย์ไทยสู่สากล
แสดงความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไทย ผ่านการนำเสนอ “100 ศักยภาพสาธารณสุขไทย” ครอบคลุมทั้ง Medical Service Hub, Wellness Hub, Product Hub และ Academic Hub พร้อมนำเสนอสถานบริการทางการแพทย์กว่า 1,000 แห่งที่ได้มาตรฐานสากล
โซนภูมิสยาม: สัมผัสประสบการณ์ความเป็นไทย
นำเสนอประสบการณ์ตรงผ่านการสาธิตอาหารไทย นวดไทย และกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ พร้อมพื้นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกันจากประเทศไทยกว่า 100,000 รายการ

เป้าหมายขยายตลาดสู่กลุ่มประเทศศักยภาพ
การเข้าร่วมงานครั้งนี้ ไทยมุ่งเน้นขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศเป้าหมายที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะ ประเทศญี่ปุ่น ในฐานะเจ้าภาพการจัดงาน รวมถึงกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) ทั้ง 6 ประเทศ ได้แก่ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย, รัฐคูเวต, รัฐสุลต่านโอมาน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, รัฐกาตาร์ และ ราชอาณาจักรบาห์เรน
นอกจากนี้ ยังมุ่งเป้าไปที่กลุ่มประเทศ CLMV อันประกอบด้วย ราชอาณาจักรกัมพูชา, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รวมถึง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูง โดยการเข้าร่วมงานครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยจะได้แสดงศักยภาพเพื่อดึงดูดนักลงทุนกลุ่มทางการแพทย์และนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากประเทศเหล่านี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วประเทศให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย และกิจกรรมพิเศษหมุนเวียนตลอด 6 เดือน รวมถึงการแสดงเนื่องในโอกาสความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นครบรอบ 138 ปี
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ thailandpavilionworldexpo2025.com
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok