ไมเดีย (Midea) ประกาศความพร้อมบุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าไทยปี 2568 ด้วยการเปิดตัวเครื่องปรับอากาศรุ่น Numen ที่มาพร้อมนวัตกรรม AI ECOMASTER ครั้งแรกของโลกที่ประเทศไทย พร้อมทุ่มงบการตลาดเพิ่มขึ้นเท่าตัวรุกตลาดแบบ 360 องศา โดยมี บัวขาว บัญชาเมฆ รับหน้าที่พรีเซ็นเตอร์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ตอกย้ำภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งของแบรนด์ พร้อมประกาศแผนการลงทุนโรงงานผลิตแห่งใหม่มูลค่ากว่า 2,260 ล้านบาทที่จังหวัดระยอง ตั้งเป้าก้าวขึ้นสู่ 3 อันดับแรกในตลาดเครื่องปรับอากาศไทย
โอกาสทางการตลาดของเครื่องปรับอากาศในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากสภาพอากาศร้อนชื้นและความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะที่เพิ่มสูงขึ้น โดยตลาดมีมูลค่า 1.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 และคาดว่าจะเติบโตด้วยอัตราเฉลี่ยต่อปี 5.93% จนถึงปี 2572
ธนวัฒน์ วงศ์ชาญวุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ็มดี คอนซูเมอร์ แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ไมเดียประสบความสำเร็จอย่างสูงในปี 2567 ด้วยยอดขายในไทยที่เพิ่มขึ้นถึง 237.5% โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องปรับอากาศที่เติบโต 186% ในปีนี้บริษัทพร้อมรุกตลาดภายใต้คอนเซ็ปต์ “แกร่ง ทน ครบเครื่อง” พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 36 รายการจาก 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์
นวัตกรรมล้ำสมัยกับเครื่องปรับอากาศ Numen
เครื่องปรับอากาศ Midea รุ่น Numen โดดเด่นด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย 3 ด้าน ได้แก่ ระบบ ECOMASTER ที่ใช้ AI ควบคุมอุณหภูมิแม่นยำถึง ±0.3°C และประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้น 30% เทคโนโลยี Prime Guard ที่เพิ่มความทนทานด้วยท่อทองแดง TU1 และระบบ Healthy Air Management ที่มาพร้อมระบบฟอกอากาศและทำความสะอาดอัตโนมัติ
แผนการตลาดเชิงรุกแบบ 360 องศา
ไมเดียวางแผนการตลาดครอบคลุมทุกช่องทาง ทั้งสื่อออฟไลน์และออนไลน์ โดยเน้นการใช้สื่อโฆษณาแบบ Out of Home บนรถไฟฟ้า 6 สาย Building Wrap 3 แห่ง และบิลบอร์ด 13 จุดทั่วประเทศ พร้อมการเป็นผู้สนับสนุนสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5
นอกจากนี้ ไมเดียยังจัดงาน Midea Convention 2025 เพื่อประกาศความสำเร็จและแผนธุรกิจ โดยมีพาร์ทเนอร์เข้าร่วมกว่า 500 ราย พร้อมยกระดับบริการหลังการขายด้วยการรับประกัน 5 ปีเต็มรูปแบบและบริการภายใน 24 ชั่วโมง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร. 02-107-7799 และติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นได้ที่ Facebook: Midea.com/TH
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
