บริษัทฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอนเตอร์ไพรส์ (HPE) ประกาศความสำเร็จในการส่งมอบระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ El Capitan ให้กับห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Lawrence Livermore (LLNL) สังกัดกระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกา ในงาน SC24 โดย El Capitan นับเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก ด้วยความเร็วในการประมวลผลถึง 1.742 Exaflops พร้อมนวัตกรรมการระบายความร้อนด้วยของเหลวโดยตรงแบบไร้พัดลม 100% ซึ่งช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงถึง 58.89 Gigaflops ต่อวัตต์ และติดอันดับระบบที่ประหยัดพลังงานสูงสุด 20 อันดับแรกของโลก
ElCapitan เป็นหนึ่งในสามซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับเอ็กซาสเกลของโลกที่พัฒนาโดย HPE ระบบนี้จะช่วยสนับสนุนภารกิจสำคัญด้านความมั่นคงของชาติสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการดูแลคลังอาวุธนิวเคลียร์ให้มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั้งในงานที่เป็นความลับและไม่เป็นความลับของทางราชการ
ทริช แดมโครเกอร์ รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป HPC & AI Infrastructure Solutions ของHPE กล่าวว่าความสำเร็จนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกา สำนักงานบริหารความมั่นคงนิวเคลียร์แห่งชาติ LLNL และ AMD โดย El Capitan จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการค้นพบและนวัตกรรมทางวิศวกรรมในอนาคต
El Capitan ใช้โซลูชัน HPE Cray EX ที่ติดตั้ง APU AMD Instinct™ MI300A ซึ่งรวมคอร์ CPU และ GPU ไว้ในแพ็กเกจเดียว พร้อมระบบเชื่อมต่อ HPE Slingshot ที่ใช้อีเทอร์เน็ตความเร็วสูง ทำให้สามารถประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ได้พร้อมกันมากกว่า 11,000 โหนด นอกจากนี้ยังมีระบบจัดเก็บข้อมูลแบบกำหนดเองที่พัฒนาร่วมกันระหว่าง LLNL และ HPE
ร็อบ นีลลี ผู้อำนวยการโปรแกรมการจำลองอาวุธและระบบคอมพิวเตอร์ของ LLNL เผยว่าระบบนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างโมเดลและแบบจำลอง 3 มิติที่มีความแม่นยำสูง รวมถึงรองรับการฝึกฝนและการอนุมาน AI ในสเกลขนาดใหญ่
นอกเหนือจากภารกิจด้านความมั่นคง El Capitan ยังสนับสนุนการวิจัยในด้านต่างๆ เช่น การไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ การต่อต้านการก่อการร้าย การศึกษาวัสดุ ข้อมูลนิวเคลียร์ และวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพลังงาน รวมถึงการวิจัยที่ไม่เป็นความลับทางราชการในด้านความมั่นคงทางพลังงาน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้า และการค้นพบยา
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ ช่องทางโซเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok