อินเทล พัฒนานวัตกรรม AI แบบ Software-First เพื่อ นักพัฒนา

อินเทล มอบโซลูชันครบวงจรเพื่อการพัฒนา AI รักษาความปลอดภัย การประมวลผลแบบควอนตัมและอื่น ๆ สำหรับ นักพัฒนา โดยเฉพาะ

อินเทล นักพัฒนา AI Day2

ในวันที่ 2 ของงาน Intel Innovation ทาง อินเทล ได้ประกาศความพยายามและความพร้อมของบริษัทฯในการลงทุนเพื่อส่งเสริมทรัพยากรระบบนิเวศแบบเปิด (Open Ecosystems) เพื่อเร่งขับเคลื่อนนวัตกรรมชุมชน นักพัฒนา ตั้งแต่ซิลิคอน ระบบเทคโนโลยี ไปจนถึงแอปพลิเคชัน และซอฟต์แวร์ในทุกระดับ

อินเทล มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือ นักพัฒนา ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมเสริมสร้างความสามารถของ นักพัฒนา ที่จะเข้าใจและเข้าถึงศักยภาพของตนให้มากขึ้นเพื่อพัฒนาสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ผ่านการขยายแพลตฟอร์ม เครื่องมือ และโซลูชันต่าง ๆ โดย อินเทลได้นำเสนอเครื่องมือใหม่ ๆ ในการสนับสนุน นักพัฒนา ด้านการพัฒนา AI การรักษาความปลอดภัย และการประมวลผลแบบควอนตัม พร้อมทั้งประกาศรายชื่อกลุ่มลูกค้ารายแรกที่ได้นำนวัตกรรมระบบรักษาความปลอดภัย Project Amber ใหม่นี้ไปใช้ด้วย

นายเกร็ก ลาเวนเดอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ อินเทล กล่าวว่า “เรากำลังวางแผนกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับซอฟต์แวร์เป็นอันดับแรก ด้วยการเสริมศักยภาพของทรัพยากรระบบนิเวศแบบเปิดซึ่งจะช่วยให้เราสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมร่วมกันได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เรายังเป็นสมาชิกที่มุ่งมั่นของชุมชน นักพัฒนา ตลอดจนความเชี่ยวชาญเชิงลึกและแพร่หลายด้านสินทรัพย์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของเรายังช่วยขยายโอกาสให้กับทุกคนผ่านการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการทำงานร่วมกัน”

ขับเคลื่อนขุมพลังให้แก่นักพัฒนาด้วยระบบที่เปิดกว้าง

อีกหนึ่งหัวข้อสำคัญของงาน Intel Innovation ที่จัดขึ้นเป็นวันที่สองเพื่อชุมชน นักพัฒนา นั้น นายลาเวนเดอร์ ได้กล่าวเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของ อินเทล ในเรื่องระบบนิเวศที่เปิดกว้าง การเสนอทางเลือกที่หลากหลายสำหรับโซลูชันยุคใหม่ และการอยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจ โดยเริ่มต้นจากชุดเครื่องมือ oneAPI ซึ่งเป็นโมเดลการเขียนโปรแกรมที่อิงมาตรฐานที่เปิดกว้างและครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยให้ นักพัฒนา สามารถเลือกสถาปัตยกรรมที่ดีที่สุดสำหรับปัญหาที่พวกเขาพยายามหาทางแก้ไขอยู่ จากความคืบหน้าในการต่อยอดการใช้งาน oneAPI อินเทล ยังได้กำหนดทิศทางการใช้งาน oneAPI ในอนาคตเพื่อตอบสนองความต้องการที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปของ นักพัฒนา ผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ ห้องปฏิบัติการระดับประเทศ นักวิจัย และผู้จำหน่ายซิลิคอนได้อย่างตรงจุด

บริษัท Codeplay เป็นบริษัทในเครือของ อินเทล ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านการขับเคลื่อนมาตรฐานแบบเปิด (มาตรฐานที่เปิดให้นำไปใช้ ปรับใช้ และอัปเดตได้อย่างอิสระ) รวมถึงการให้บริการการใช้งานข้ามแพลตฟอร์มของเครื่องมือ SYCL และ oneAPI โดยปัจจุบัน Codeplay จะเป็นผู้รับผิดชอบด้านการพัฒนาชุมชน oneAPI ต่อไป

อินเทล จะยังคงส่งมอบเครื่องมือสำหรับ นักพัฒนา และคู่มือตามข้อมูลจำเพาะของ oneAPI อย่างต่อเนื่อง โดยชุดเครื่องมือ Intel oneAPI 2023 จะจัดส่งภายในเดือนธันวาคมพร้อมการรองรับสถาปัตยกรรม CPU, GPU และ FPGA ใหม่ล่าสุด ซึ่งรวมถึงเครื่องมือต่าง ๆ เช่น เครื่องมือ SYCLomatic แบบโอเพนซอร์ส (โมเดลการผลิตแบบเสรีที่อนุญาตให้ทุกคนปรับแต่งและแบ่งปันเทคโนโลยีได้) โดย SYCLomatic จะทำหน้าที่ช่วยแปลงซอร์สโค้ด CUDA ให้เป็นซอร์สโค้ด SYCL และถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีสำหรับ นักพัฒนา ในการพัฒนาสถาปัตยกรรมการประมวลผล

นอกจากนี้ อินเทล ยังได้ประกาศรายชื่อสถาบันการศึกษาและการวิจัยเพิ่มอีก 6 แห่ง ที่ได้จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้าน OneAPI (oneAPI Centers of Excellence) เพื่อขยายการสนับสนุนชุดเครื่องมือ oneAPI ที่เป็นอินเทอร์เฟซสำคัญของการเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชันและพัฒนาหลักสูตรการศึกษาของศูนย์ความเป็นเลิศด้าน oneAPI ได้แก่

  • School of Software and Microelectronics of Peking University ประเทศจีน
  • Science and Technology Facilities Council ประเทศอังกฤษ
  • School of Software and Microelectronics of Peking University ประเทศอิสราเอล
  • University of Utah in collaboration with Lawrence Livermore National Laboratory (LLNL) ประเทศสหรัฐอเมริกา
  • University of California San Diego ประเทศสหรัฐอเมริกา
  • Zuse Institute Berlin ประเทศเยอรมนี

สำหรับ นักพัฒนา ที่ต้องการสร้างโซลูชัน AI ใหม่ที่มีความรวดเร็ว ประสิทธิภาพสูง และมีเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม อินเทล ได้เปิดตัวชุด AI ในการดูแลสุขภาพเพิ่มอีก 3 ชุด ที่จะเข้ามาช่วยดูแลระบบเอกสารแบบอัตโนมัติ การวิเคราะห์โรคในอนาคต และการดูภาพทางรังสีวินิจฉัย โดย นักพัฒนา สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมของชุด AI ที่เพิ่งเปิดตัวไปจำนวน 3 ชุดนี้ และอีก 4 ชุดที่ได้เปิดตัวไปก่อนหน้าเมื่อเดือนกรกฎาคมได้ที่ GitHub

นายลาเวนเดอร์ กล่าวว่า “เป้าหมายของเราคือการส่งมอบเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุดผ่านระบบนิเวศแบบโอเพนซอร์ส หรือผลิตภัณฑ์จากอินเทลให้กับเหล่า นักพัฒนา ” ทั้งนี้ เหล่า นักพัฒนา อาจจะยังไม่ทราบว่าผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่างในการพัฒนาทั่วโลกของอีแวนส์ ดาต้า คอร์ปอเรชั่น (Evans Data Corp.) ในปี พ.ศ. 2564 พบว่า กว่า 90% ของจำนวน นักพัฒนา ทั่วโลกกำลังใช้ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาหรือปรับแต่งโดย อินเทล ซึ่ง อินเทล ได้เป็นผู้สนับสนุนหลักให้แก่ลินุกซ์ เคอร์เนล (Linux kernel) มานานกว่าทศวรรษแล้ว และเมื่อเร็ว ๆ นี้ อินเทล ยังได้ช่วยผสานการทำงานด้านประสิทธิภาพของไลบรารี oneDNN เข้ากับ TensorFlow พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้นถึง 3 เท่า ให้แก่ผู้คนนับล้านที่ใช้เทคโนโลยี AI ด้วย

ส่งมอบบริการใหม่ ๆ อย่างใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ และการแพทย์ระยะไกล ผ่านระบบการรักษาความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้น

การผนวกรวมซอฟต์แวร์แบบโอเพนซอร์ส ฮาร์ดแวร์โซลูชัน และความต้องการทางธุรกิจ ทำให้เกิดโอกาสใหม่ ๆ ในการส่งมอบรูปแบบบริการที่แตกต่าง เช่น โครงการออกใบสั่งยาในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Prescriptions) ในประเทศเยอรมนี โดยในปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นเตรียมเปิดตัวบริการสู่สาธารณะ

IBM ผู้พัฒนาโซลูชันการออกใบสั่งยาในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และผู้บูรณาการเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยของ อินเทล (Intel® Software Guard Extensions หรือ SGX) ร่วมกับ Gramine Project (ระบบปฏิบัติการไลบรารีสำหรับแอปพลิเคชันที่ไม่ได้แก้ไข ดำเนินการโดยโครงการชุมชนโอเพนซอร์สที่ขับเคลื่อนโดยทีมสนับสนุนหลัก) เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้า พร้อมรักษาความปลอดภัยของแพลตฟอร์มและความเป็นส่วนตัวอย่างเข้มงวด จากการที่ อินเทล ได้เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนรายใหญ่ในโครงการโอเพนซอร์สของ Gramine Project ส่งผลให้หน่วยงานด้านสุขภาพดิจิทัลแห่งชาติประจำประเทศเยอรมนีไว้วางใจและเชื่อมั่นในความปลอดภัยของเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยของ อินเทล

นอกจากนี้ ยังมี Project Amber ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์ของ อินเทล และได้เปิดตัวไปในงาน Intel Vision เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Project Amber เป็นบริการ Software-as-a-Service ที่ช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์การประมวลผลในระบบคลาวด์ได้จากระยะไกล และไม่ขึ้นกับผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานของเวิร์กโหลดการประมวลผลที่เป็นความลับ ซึ่งบริษัท Leidos หนึ่งในบริษัทผู้รับเหมาด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังทดสอบความเป็นไปได้ (a proof-of-concept) กับ Project Amber นี้ ว่าสามารถปกป้องข้อมูลด้านสุขภาพของทหารผ่านศึกในการเข้าถึงการแพทย์จากระยะไกลในอนาคตได้หรือไม่

นางลิซ พอร์เตอร์ ประธานบริษัท Leidos Health Group ได้ร่วมพูดคุยบนเวทีกับ นายลาเวนเดอร์ พร้อมอธิบายว่า “Project Amber ทำให้ Leidos สามารถควบคุมงบประมาณจากการสร้างและบำรุงรักษาระบบการรับรองที่ซับซ้อนและมีราคาสูง ซึ่งช่วยให้เราหันไปเน้นการพัฒนาที่แตกต่างของเราอย่างระบบอัตโนมัติอัจฉริยะและการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI/ML”

เดินหน้าสู่การพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยี AI การประมวลผลแบบควอนตัม การประมวลผลคอมพิวเตอร์แบบนิวโรมอร์ฟิก และอื่น ๆ ในอนาคต

ข้อดีอีกประการของเทคโนโลยีแบบโอเพนซอร์ส คือ ความสามารถในการผสานโซลูชันมากมายจากผู้จำหน่ายและลูกค้าที่มีความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย นายคริส ไรท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Red Hat ได้ร่วมพูดคุยกับนายลาเวนเดอร์ ผ่านทางวิดีโอคอล พร้อมประกาศว่า “OpenShift Data Science ของ Red Hat นั้นได้ผสานรวมกับพอร์ตโฟลิโอ AI ของอินเทล เพื่อให้นักพัฒนาสามารถฝึกและปรับใช้กับโมเดลได้ด้วยการใช้ AI Analytics Kit และเครื่องมือ OpenVINO ของ อินเทล “

บริษัท Red Hat กำลังมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ชิป Habana® Gaudi® สำหรับการใช้งาน “เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน พร้อมมอบการฝึกฝนและการปรับใช้งานของโมเดลการเรียนรู้เชิงลึก ทั้งหมดนี้จะให้บริการในรูปแบบของการประมวลผลในระบบคลาวด์” นอกจากนี้ นายไรท์ ยังได้ประกาศว่า “โครงการที่ Intel ร่วมกับ Red Hat AI Developer Program มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ นักพัฒนา เรียนรู้ ทดสอบ และปรับใช้โมเดลต่าง ๆ อย่างง่ายดายด้วยการใช้ Red Hat OpenShift Data Science และกลุ่มผลิตภัณฑ์ AI และ Edge แบบบูรณาการของ อินเทล ”

สำหรับผู้ที่พร้อมจะเร่งความเร็วและก้าวไปสู่อนาคต ทาง อินเทล ได้ประกาศเปิดตัว Intel Quantum SDK ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ นักพัฒนา เรียนรู้ถึงวิธีการตั้งโปรแกรมอัลกอริธึมควอนตัมและนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ให้เกิดศักยภาพสูงสุด โดยเวอร์ชันเบต้าพร้อมให้ใช้งานแล้วผ่าน Intel Developer Cloud

นายลาเวนเดอร์ ยังได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับความคืบหน้าสู่การนำกลศาสตร์ควอนตัมมาใช้เสริมความแข็งแกร่งของอัลกอริธึมในการเข้ารหัส (post-quantum cryptography) โดยระบุว่าเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นหนึ่งใน 3 แนวทางของ อินเทล ที่จะจัดการกับภัยคุกคามที่เกิดจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม ซึ่งได้สรุปไว้ในงาน Intel Vision เมื่อเดือนพฤษภาคม โดยการพัฒนาล่าสุดสู่มาตรฐานและการเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนของโอกาสและความเสี่ยง “ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมของเรา เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับY2Q หรือการต้านทานควอนตัมภายในปี 2573 ซึ่งหลายคนเชื่อว่า Y2Q จะมีผลกระทบมากกว่าปัญหา ‘บั๊กมิลเลนเนียล’ เมื่อปี 2543 เสียอีก” นายนายลาเวนเดอร์ กล่าว

เป้าหมายอีกหนึ่งอย่างของ อินเทล คือ การนำเทคโนโลยนิวโรมอร์ฟิก (ระบบคอมพิวเตอร์ที่เลียนแบบการทำงานของสมอง) มาใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ อินเทลได้ประกาศการใช้งานเครื่องมือใหม่สำหรับนักพัฒนาในห้องปฏิบัติการ พร้อมนำเสนอระบบแปดชิป (Kapoho Point) และชิป Loihi 2 ซึ่งเป็นชิปวิจัยนิวโรมอร์ฟิก ตลอดจนอัปเดตเฟรมเวิร์กการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบเปิดของ Lava และเพิ่มสมาชิกของทีมวิจัย รวมทั้งริเริ่มโครงการความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยทั้งหมด 8 แห่ง ที่ได้รับการสนับสนุนจาก อินเทล ในชุมชนการวิจัยของ อินเทล เกี่ยวกับเทคโนโลยีนิวโรมอร์ฟิก (INRC)

วิธีการที่ทำให้ อินเทล สามารถบ่มเพาะนวัตกรรมของโลกอนาคตมาอย่างยาวนานคือ ผ่านระบบการศึกษาและการจับมือเป็นพันธมิตรกับสถาบันการศึกษาหลากหลายแห่ง โดยวันนี้ ทาง อินเทล ได้ทำการมอบรางวัล Intel® Rising Star Faculty Award program ให้แก่นักศึกษาที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพและมีแนวคิดด้านนวัตกรรมที่เป็นเลิศ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการวิจัยหรือการศึกษาในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และคอมพิวเตอร์

โดยผู้ชนะรางวัล Intel® Rising Star Faculty Award ในปีนี้มาจาก 15 สถาบันการศึกษาจากทั่วโลก ซึ่งผู้ที่ชนะไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทั้งการวิจัยด้าน AI และควอนตัม แต่ยังรวมถึงนวัตกรรมวิธีการสอนใหม่ ๆ ตลอดจนการสนับสนุนความหลากหลายและยอมรับความแตกต่างของชนกลุ่มน้อยและสตรีเพื่อเสริมสร้างโอกาสในด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมศาสตร์