จะจัดการอย่างไร? กับ แบตเตอรี่รถ EV หลายล้านคัน ที่หมดอายุการใช้งานในอนาคต

EV หรือรถยนต์ไฟฟ้าถูกมองว่าจะเป็นยานพาหนะแห่งอนาคตที่ให้ความสำคัญเรื่องความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ดูเหมือนจะยังบางปัจจัยที่ทำให้เทคโนโลยีดังกล่าวนั้นไม่ยั่งยืน สิ่งนั้นคือแบตเตอรี่

แบตเตอรี่เป็นหัวใจสำคัญของรถ EV ซึ่งส่วนใหญ่จะผลิตมาจากลิเธียมไอออน มีอายุการใช้งานที่จำกัด และจะเริ่มเสื่อมสภาพลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำการชาร์จไฟ

คำถาม คือ จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ในวันที่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าหลายล้านก้อน หมดอายุการใช้งาน?

รอบการชาร์จและการคายประจุ จะทำให้แบตเตอรี่สูญเสียพลังงานและกำลัง ยิ่งรอบการชาร์จแบตเตอรี่มากขึ้นเท่าใด แบตเตอรี่จะเสื่อมเร็วขึ้นเท่านั้น ข้อมูลจาก Science Direct กล่าวว่าเมื่อใช้แบตเตอรี่ถึงประมาณ 70-80% ของอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยแล้วจะเกิดขึ้นประมาณ 5-8 ปี หรือหลังจากขับรถ EV ไปแล้ว 100,000 ไมล์ ควรได้รับการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่

สื่อ The Guardian พูดถึงเรื่องนี้ว่า หากมองข้ามประเด็นนี้ไป ในอนาคต โลกของเราจะมีแบตเตอรี่มากกว่า 12 ล้านตัน ถูกทิ้งภายในปี 2030

แม้จะมีความพยายามที่จะนำมันกลับมาใช้งานใหม่ (ทำการรีไซเคิลแบตเตอรี่) แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่เพียงพอที่จะจัดการกับแบตเตอรี่เหลือทิ้งทั้งหมดได้ โดยปัจจุบันศูนย์รีไซเคิลลิเธียมไอออนมีเพียง 4 แห่งเท่านั้นในสหรัฐอเมริกา แต่จำนวนรถ EV ที่ถูกผลิตออกมาสู่ตลาดนั้น จะเพิ่มมากเป็นทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ

ทางผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม EV คาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 จะมีรถยนต์ EV ถึง 85 ล้านคัน วิ่งอยู่บนท้องถนนทั่วโลก

การรีไซเคิลแบตเตอรีรถยนต์ จึงเป็นกระบวนการที่ทำได้ยาก ลำบาก และมีความอันตรายสูง ต้องทำการแยกแบตเตอรี่ออกจากกันเพื่อแยกโลหะที่อยู่ภายใน การทำเช่นนั้นได้ ผู้รีไซเคิลมักจะใช้ 2 เทคนิค คือ pyrometallurgy กับ hydrometallurgy

โดย Pyrometallurgy เป็นวิธีอยากให้เลือกทำก่อน ซึ่งมันเป็นวิธีทำลายแบตเตอรี่และกระบวนการเผาไหม้เพื่อนำเอาโลหะภายในออกมา

ส่วน Hydrometallurgy เป็นการจุ่มแบตเตอรี่ลงในกรดเพื่อแยกโลหะออกจากกัน แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีใด ก็มีความเสี่ยงในการปล่อยควันพิษหรือร้ายแรงถึงขั้นเกิดระเบิดขึ้นทันที

นอกจากเรื่องการใช้งานถึงขีดจำกัดของมันแล้ว ยังมีประเด็นอื่นอีกให้คำนึงถึง เว็บไซต์ Wired พูดถึงเรื่องแบตเตอรี่รถ EV ว่ามันมีน้ำหนักต่างจากแบตเตอรี่ขนาดกะทัดรัดอื่นๆ โดยแบตเตอรี่รถ EV มีน้ำหนักประมาณ 435.45 กิโลกรัม การจัดหาบริษัทขนส่งและที่จัดเก็บที่เหมาะสมสำหรับแบตเตอรี่รถ EV ถือเป็นอีกหนึ่งฝันร้ายของผู้ผลิตเลยก็ว่าได้ เพราะน้ำหนักที่มาก เป็นอุปสรรคต่อการขนส่ง และอันตรายจากตัวแบตเตอรี่เอง เช่น ไฟไหม้

มีรายงานจาก Environmental Protection Agency หรือสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม พบว่าระหว่างปี 2013 – 2020 นั้นเกิดเพลิงไหม้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมากกว่า 240 ครั้งในโรงเก็บขยะ 64 แห่ง เรื่องยังไม่จบแค่นั้น เพราะหากแบตเตอรี่ที่หมดอายุแล้วถูกฝังกลบ จะทำให้สารพิษที่เป็นอันตราย เช่น ตะกั่วและนิกเกิล ปนเปื้อนมากับทั้งดินและน้ำใกล้บริเวณที่ฝังกลบ

นอกจากการนำไปรีไซเคิลแล้ว ยังมีอีกทางเลือกสำหรับแบตเตอรี่รถ EV เก่าๆ โดยการนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อเป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนภายในบ้านหรือใช้ในธุรกิจได้ เพระว่าถึงแม้ตัวความจุแบตเตอรี่จะลดลง แต่ก็ยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อเก็บพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ได้ โดยเว็บไซต์ Innovative News Network กล่าวว่ามันสามารถใช้งานได้ยาวนาน 7-10 ปี

ตัวอย่างที่เห็นภาพได้ชัด คือ ความคิดริเริ่มที่ Toyota ได้นำเอาแบตเตอรี่เก่าที่เคยถูกใช้ใน Camry Hybrids มาใช้ติดตั้งกับแผงโซลาร์เซลล์ แล้วนำไปใช้งานในจุดแลนด์มาร์คต่างๆ ของอุทยาน Yellowstone Park แทนที่การใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซล

นอกจาก Toyota แล้ว ยังมีบริษัทในสเปนแห่งหนึ่งทดลองการนำแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ใช้แล้วมาช่วยจ่ายไฟให้กับโรงงานแห่งหนึ่งในชนบทในกรณีที่โรงงานถูกปิดตัวชั่วคราว

ที่มา : SLASHGEAR
ภาพประกอบ : Freepik