NTT DATA

NTT DATA เผยผลวิจัย Global Banking Research ชี้องค์กรต้องการลงทุนใน ผลิตภัณฑ์-บริการด้านธนาคาร

NTT DATA เผยผลวิจัย Global Banking Research ชี้องค์กรกว่าครึ่งต้องการลงทุนใน ผลิตภัณฑ์-บริการด้านธนาคาร ยั่งยืน ภายใต้วิกฤตโควิด-19

NTT DATA ผู้นำด้านธุรกิจดิจิทัลและบริการด้านไอทีชั้นนำระดับโลก เปิดผลการวิจัย Global Research into Corporate Banking’s Future โดยเปรียบเทียบความต้องการของธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่ กับการให้ความสำคัญในการลงทุนของธนาคารทั่วโลก ในปัจจุบันพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในวงการการเงินและธนาคารภายใต้วิกฤตโควิด-19 ที่เน้นบูรณาการระบบดิจิทัลและความยั่งยืนมากขึ้น ให้สอดคล้องกับคนรุ่นมิลเลนเนียลรุ่นใหม่ที่ดำรงตำแหน่งระดับสูงในองค์กรเพิ่มขึ้น

นายมิเกล มาส ผู้อำนวยการธุรกิจธนาคารทั่วโลก บริษัท เอ็นทีที เดต้า ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (NTT Data EMEA Ltd.) เปิดเผยถึงผลการงานวิจัย Global Research into Corporate Banking’s Future เปรียบเทียบความต้องการขององค์กรขนาดใหญ่ กับสิ่งสำคัญในการลงทุนของธนาคารระดับโลกในปัจจุบัน พบว่าภายหลังวิกฤตโควิด-19  กลุ่มการเงินและธนาคารที่ให้บริการแก่ธุรกิจองค์กร ได้เปลี่ยนการทำงานเป็นแบบบูรณาการในรูปแบบดิจิทัลและเพิ่มความยั่งยืนมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้ากลุ่มมิลเลนเนียลรุ่นใหม่ที่เริ่มมีตำแหน่งสูงขึ้นในองค์กร จากผลการวิจัยผู้มีอำนาจตัดสินใจระดับสูงจากธุรกิจธนาคารและองค์กรต่าง ๆ กว่า 880 คน จาก 12 ประเทศทั่วโลก เพื่อค้นหาแนวทางการปรับตัวในอนาคตของกลุ่มการเงินและธนาคารที่ให้บริการแก่ธุรกิจองค์กร พบว่าปัจจัยที่ทำให้พื้นฐานธุรกิจธนาคารเปลี่ยนไป เกิดจากการปรับใช้เทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และเจเนอเรชันที่เปลี่ยนไปของลูกค้า บวกกับการฟื้นตัวจากวิกฤตโรคระบาดอย่างต่อเนื่อง

 NTT DATA Global Banking

ปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ หันมาสื่อสารกับธนาคารผ่านแอปพลิเคชั่นบนระบบ APIs หรือ Application Programming Interfaces ซึ่งเป็นการสื่อสารด้วย เทคโนโลยีที่ทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถส่งข้อมูลระหว่างกันผ่านการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องมือและอุปกรณ์อินเทอร์เน็ต (M2M) มากขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับการสื่อสารแบบตัวบุคคลถึงตัวบุคคล(Person-to-person) ทั้งยังให้ความสำคัญกับขั้นตอนการนำกระบวนการแบบอนาล็อกและสิ่งที่เป็นรูปธรรมมาเปลี่ยนให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลไปจนเสร็จสิ้น (End-to-end digitization) และสามารถส่งมอบบริการที่ลื่นไหล (Frictionless Banking)  มากกว่าการสร้างความสัมพันธ์ผ่านตัวบุคคลซึ่งเป็นภาพลักษณ์แบบเดิม ทั้งนี้ 85% ของธุรกิจธนาคารรายงานว่ากำลังเพิ่มประสิทธิภาพพอทัล (Portal) ต่าง ๆ ของธนาคารให้ดียิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้บริโภค

“จากงานวิจัยพบว่าอนาคตของกลุ่มการเงินและธนาคารที่ให้บริการแก่ธุรกิจองค์กร จะเป็นการทำงานแบบบูรณาการ ดิจิทัล และยั่งยืนมากขึ้น ถึงแม้กฎเกณฑ์ใหม่ๆมีส่วนขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง แต่แท้จริงแล้วการเปลี่ยนเจเนอเรชันต่างหากที่กำหนดว่าธนาคารควรปฏิบัติงานอย่างไร ปัจจุบันกลุ่มการเงินและธนาคารที่ให้บริการแก่ธุรกิจองค์กรมีความรวดเร็วมากขึ้น เช่นเดียวกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น เห็นได้ว่าธนาคารต่าง ๆ เริ่มหันมาลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Ai และ Automation ซึ่งล้วนมาจากความต้องการของผู้บริโภค” นายมิเกล กล่าว

 NTT DATA Global Banking

ทั้งนี้ งานวิจัยได้แนะให้ธนาคารผสานบริการเข้ากับความต้องการของผู้บริโภค ที่ปัจจุบันความต้องการขององค์กรได้เปลี่ยนจากธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิมจากโปรดักส์เงินทุนหมุนเวียน (Working capital products) ไปสู่หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง(Structured products) รวมทั้งเทคโนโลยีก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน เราจึงเห็นธนาคารเริ่มนำระบบอัตโนมัติ (Automation) มาใช้ในการทำงานมากขึ้น รวมทั้งการใช้โมเดล Advanced Machine learning ในงานต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านเครดิต ตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าธนาคารควรฟังเสียงจากกลุ่มลูกค้าองค์กร และความต้องการเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรมเพื่อส่งมอบบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างตรงจุด อาทิ 70% ของกลุ่มบริษัทรับเหมาก่อสร้างยังคงต้องการโซลูชันด้านการกู้เงิน และการบริหารเงินสดขององค์กรแบบ Omni-channel แต่บริการดังกล่าวกลับไม่ถูกผสมผสานเข้ากับแพลตฟอร์มของธนาคารพาณิชย์

 NTT DATA Global Banking

อีกทั้งแนวคิด ESG (Environmental, social and corporate governance) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อกลุ่มการเงินและธนาคารที่ให้บริการแก่ธุรกิจองค์กร ผู้กำหนดกฎเกณฑ์และนโยบายต่างเรียกร้องให้มีการนำ ESG มาปรับใช้มากขึ้นเพื่อมุ่งสู่โลกแห่งอนาคต แม้จะทราบดีว่าการเดินหน้าสู่แนวคิดเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low-carbon economy) จะเพิ่มความยุ่งยากให้กับธุรกิจบริการด้านการเงิน ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงจากบริการที่เปลี่ยนไป

ทั้งนี้ องค์กรต่าง ๆ ต้องการทำธุรกรรมกับธนาคารที่สะท้อนมุมมองและความเชื่อของตน ด้วยลูกค้าในกลุ่มธุรกิจองค์กรรุ่นใหม่ เริ่มให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน จากผลการวิจัยพบว่า 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามกลุ่มองค์กรต้องการให้ธนาคารของตนลงทุนในผลิตภัณฑ์และบริการที่มีความยั่งยืนมากขึ้น โดย 44% ของธุรกิจธนาคารเริ่มลงทุนในด้านดังกล่าวแล้ว

 “ความยั่งยืนคือกุญแจสำคัญในการแข่งขัน องค์กรเกือบครึ่งต่างต้องการให้ธนาคารของตนลงทุนในด้านนี้เพิ่มขึ้น และธนาคารที่มีวิสัยทัศน์ได้เริ่มสร้างทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้าน ESG เพื่อตอบโจทย์นี้แล้ว ทั้งความยั่งยืนยังเป็นโอกาสสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจเหนือคู่แข่งอีกด้วย”นายมิเกลกล่าวทิ้งท้าย