GRAB

แกร็บ หนุนภาครัฐ-ดันพลังงานสะอาด ตั้งเป้า 5 ปีเพิ่มพาร์ทเนอร์ ใช้รถ EV 10%

แกร็บ ขานรับนโยบายรัฐ-หนุนเทรนด์พลังงานสะอาด ตั้งเป้า 5 ปีเพิ่มพาร์ทเนอร์ ใช้รถ EV 10% ทั้งหมดภายในปี 2569 เล็งหารือกับกลุ่มผู้ผลิต-สถานีชาร์จเพื่อส่งเสริม

แกร็บ ประเทศไทย ขานรับนโยบายรัฐ-หนุนเทรนด์พลังงานสะอาด ประกาศตั้งเป้าเพิ่มจำนวนพาร์ทเนอร์คนขับ-ผู้จัดส่งอาหารที่ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ใช้รถ EV 10% ของพาร์ทเนอร์คนขับทั้งหมดภายในปี 2569 เล็งหารือกับกลุ่มผู้ผลิต-สถานีชาร์จเพื่อส่งเสริม และผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับ ควบคู่ไปกับผนึกพันธมิตรกับธนาคาร-ไฟแนนซ์เพื่อสนับสนุนการวางแผนทางการเงินและการปล่อยสินเชื่อ พร้อมให้ความร่วมมือภาครัฐกระตุ้นการรับรู้ และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของการใช้รถไฟฟ้าในกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับ สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการร่วมมือกับกลุ่มอาเซียนขับเคลื่อนพลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภูมิภาค

แกร็บ ใช้รถ EV

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการบริหาร แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “ประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศนับเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก แนวคิดในการลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนหรือเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำได้กลายเป็นหนึ่งในทางออกเพื่อแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและลดปริมาณคาร์บอนฟุตพรินท์ และด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ทำให้ปัจจุบันยานพาหนะที่ใช้พลังงานสะอาดอย่างรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้กลายเป็นทางเลือกใหม่และกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในวงกว้าง ทั้งนี้ การผลักดันประเทศไทยให้ก้าวไปสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักและถือเป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเชื้อเพลิงและน้ำมัน รวมถึงปัญหามลพิษอย่างยั่งยืน”

“ที่ผ่านมา แกร็บ ประเทศไทย ในฐานะผู้ให้บริการแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ได้ตระหนักถึงความสำคัญของประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม จึงได้ริ่เริ่มโครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และพยายามลดผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในเชิงสิ่งแวดล้อม อาทิ โครงการนำร่องที่ส่งเสริมให้พาร์ทเนอร์คนขับใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในการให้บริการจัดส่งอาหาร และการเปิดตัวฟีเจอร์พิเศษที่ชวนให้ผู้ใช้บริการมีส่วนร่วมในการชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนผ่านการบริจาคเงินเพื่อสมทบในการปลูกป่า เป็นต้น และเพื่อเป็นการแสดงถึงเจตนารมณ์ และความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ในปีนี้ แกร็บ จึงได้ประกาศเป้าหมายระยะยาว (2565-2569) ในการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนพาร์ทเนอร์คนขับ-ผู้จัดส่งอาหารที่ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ได้ 10% ของจำนวนพาร์ทเนอร์คนขับทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาด ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภูมิภาค”

แกร็บ ใช้รถ EV

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ แกร็บ ประเทศไทย จะมุ่งดำเนิน 3 กิจกรรมหลัก อันประกอบด้วย

  • การประสานความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อสรรหารถยนต์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่มีสเป็คตรงตามความต้องการของกลุ่มกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับและผู้จัดส่งอาหาร-พัสดุ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนหลายแสนคน รวมไปถึงการส่งเสริมการทดลองใช้งานและการทำการตลาดร่วมกัน นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงบริการที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ ผู้ให้บริการสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าและระบบบริหารจัดการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมและผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม
  • การผนึกพันธมิตรกับกลุ่มธนาคารหรือสถาบันทางการเงิน เพื่อนำเสนอแผนการจัดไฟแนนซ์ หรือบริการสินเชื่อด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษและการชำระคืนแบบรายวัน เพื่อสร้างแรงจูงใจและลดภาระหนี้ให้กับกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบ
  • การให้ความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐเพื่อส่งเสริมความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มพาร์ทเนอร์คนขับและผู้จัดส่งอาหาร-พัสดุ โดยเฉพาะในเรื่องของประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงเทรนด์และเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างการรับรู้และการยอมรับ ซึ่งจะส่งผลต่อการทดลองใช้และบอกต่อ

“การประกาศเป้าหมายระยะยาวของ แกร็บ ประเทศไทย ในการส่งเสริมการใช้ EV ในครั้งนี้ ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่สะท้อนความตั้งใจของแกร็บในการมีส่วนแก้ปัญหาและสร้างความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจ GrabForGood หรือ แกร็บ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ที่มุ่งส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้คนในสังคม โดยแกร็บพร้อมเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนในการสร้างการรับรู้และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดให้เกิดขึ้นในวงจรธุรกิจของเรา และพร้อมให้การสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐในการผลักดันนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้” นายวรฉัตร กล่าวทิ้งท้าย