อดีตพนักงาน Facebook แฉ บริษัทมุ่งแต่จะหากำไร ละเลยการปราบปราม hate speech และข่าวปลอมอย่างจริงจัง

Frances Haugen อดีตพนักงานของ Facebook ผู้อยู่เบื้องหลังการ แฉ ข้อมูลลับและการเปิดเผยเอกสารกองมหึมาของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ทรงพลังที่สุดในโลกให้กับทาง Wall Street Journal พร้อมทั้งให้สัมภาษณ์ออกสู่สาธารณะในรายการ 60 Minutes เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมากับทางสถานี CBS โดย Haugen เล่าถึงบริษัทที่มุ่งมั่นในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์โดยการนำอัลกอริทึ่มที่ขยาย hate speech มาใช้งาน สิ่งที่เธอเปิดเผยต่อสาธารณะชนทำให้รู้ว่า Facebook นั้นกำลังโกหกทุกคนอยู่ เกี่ยวกับเรื่องการต่อต้านข้อความที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง (hate speech) และข่าวปลอมต่างๆ

Facebook whistleblower

ผลกำไรของ Facebook ได้มาจากการแลกมาด้วยความปลอดภัยของพวกเรา

It’s paying for its profits with our safety

Frances Haugen บอกกับ Scott Pelly ผู้ดำเนินรายการ 60 Minutes

จากโปรไฟล์ LinkedIn ของ Frances Haugen ที่ถูกลบไปแล้วนั้น เธอเคยเป็นผู้จัดการแผนกผลิตภัณฑ์ของ Facebook ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมกลุ่ม Civic Integrity จากนั้น เธอตัดสินใจลาออกจาก Facebook ในปี 2021 หลังจากการยุบกลุ่มดังกล่าวลง

Haugen แฉ Facebook ให้ฟังอีกว่า เธอไม่เชื่อว่า Facebook เต็มใจที่จะลงทุนในสิ่งที่จำเป็นต้องลงทุนจริงๆ เพื่อไม่ให้บริษัทเป็นอันตราย ด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงเริ่มเผยแพร่แคชของการวิจัยภายในของ Facebook ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์โดยหวังว่าหน่วยงานเหล่านี้จะสามารถขับเคลื่อนกฏระเบียบของบริษัทให้ดีขึ้นได้

เธอตั้งข้อสังเกตว่า จากประสบการณ์การทำงานที่เธอเคยทำในบริษัทหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Google หรือ Pinterest และพบว่า Facebook นั้นแย่กว่าทุกบริษัทที่เธอเคยทำงานมา โดย Facebook ปรารถนาที่จะทำกำไรบนสวัสดิการของผู้ใช้

มีความขัดแย้งกันระหว่างสิ่งที่ดีต่อสาธารณะ กับ สิ่งที่ดีสำหรับ Facebook และ Facebook ก็เลือกที่จะเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า เช่น การหาเงินเพิ่ม

Frances Haugen บอกกับ Scott Pelly ผู้ดำเนินรายการ 60 Minutes
Facebook whistleblower

Haugen ได้พูดถึงนโยบายการลด hate speech บนแพลตฟอร์ม Facebook ว่า บริษัทพร่ำพูดอยู่เสมอว่าจะช่วยหยุดคำพูดที่แสดงถึงความเกลียดชังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ดูเหมือนบริษัทไม่ได้ทำอะไรจริงจังกับเรื่องนี้เลย พร้อมเผยเอกสารภายในฉบับหนึ่งออกมาว่า บริษัทประเมินว่าได้ดำเนินการเพียง 3-5% ของเรื่อง hate speech และประมาณ 0.6% ของเรื่องความรุนแรงและการปลุกปั่นบน Facebook ซึ่งถือว่าดีที่สุดในโลกแล้ว รวมถึงเอกสารอีกชุดที่แย่ยิ่งกว่า ซึ่งมันระบุในเอกสารว่า “บริษัทมีหลักฐานจากแหล่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำพูดที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง , คำพูดที่ทำให้เกิดการแตกแยกทางการเมือง , และข้อมูล/ข่าวต่างๆ ที่ผิดบน Facebook และแอปต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมทั่วโลก” โดย Haugen กล่าวว่าต้นตอของปัญหาคืออัลกอริทึมที่เปิดตัวในปี 2018 ที่เป็นตัวควบคุมสิ่งต่างๆ ที่ผู้ใช้มองเห็นบนแพลตฟอร์ม เธออธิบายว่าบริษัทตั้งใจจะขับเคลื่อนการมีส่วนร่วม และบริษัทก็พบว่าการมีส่วนร่วมที่ดีที่สุด คือ การปลูกฝังความกลัวและความเกลียดชังให้กับผู้ใช้

Facebook whistleblower
Facebook whistleblower

ในขณะนั้น Mark Zuckerberg ได้นำเสนอเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึมว่าเป็นไปในทางบวก พร้อมกล่าวย้ำว่า Facebook รู้สึกรับผิดชอบที่จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าบริการของบริษัทนั้นไม่เพียงแต่ใช้งานสนุกเท่านั้น แต่ยังดีสำหรับสวัสดิภาพของผู้คนด้วย

ตามรายงานของ The Wall Street Journal ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ Frances Haugen กังวล ผลคือ การหันเข้าหาความโกรธและความเกลียดชังอย่างรวดเร็วของผู้ใช้ ทั้งข้อมูลที่ผิด เป็นเท็จ คำพูดที่เป็นพิษ และเนื้อหาที่มีความรุนแรงนั้นเป็นที่แพร่หลายจากการแชร์ต่อๆ กันบนแพลตฟอร์ม จากนั้น The Wall Street Journal จึงเริ่มเผยแพร่งานวิจัยจากแคชภายใต้ชื่อ The Facebook Files ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาโดยมีรายงานฉบับหนึ่งที่อ้างว่า Facebook มีงานวิจัยที่พิสูจน์ว่า Instagram ทำร้ายเด็กสาววัยรุ่น นำไปสู่การทําประชาพิจารณ์ของสภาคองเกรส โดยก่อนการทำประชาพิจารณ์ Facebook ได้พยายามเปลี่ยนแปลงคำบรรยายในบล็อกโพสต์ซึ่งทำซ้ำรายงาน 2 ฉบับที่อ้างอิงในรายงานของ Wall Street Journal

และก่อนรายการ 60 Minutes จะออกอากาศ Facebook ได้พยายามเบี่ยงเบนความสนใจในรูปแบบที่แตกต่างออกไป โดย Nick Clegg รองประธานฝ่ายกิจการระดับโลกของ Facebook ได้ปรากฏตัวบนแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ของสำนักข่าว CNN เพื่อปกป้องบริษัทเมื่อช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นั่นเป็นเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ Frances Haugen จะปรากฏตัว

Frances Haugen ปิดการให้สัมภาษณ์โดยเรียกร้องให้โซเชียลมีเดียมีการปรับปรุงกฏระเบียบในวงกว้างมากขึ้นกว่านี้และเรียกร้องให้สิ่งที่ Facebook เรียกร้องในรูปแบบที่จำกัดมากขึ้นกว่านี้ นอกจากนี้ เธอยังมีกำหนดที่จะปรากฏตัวต่อหน้าวุฒิสภาในวันอังคารที่ 5 ตุลาคมด้วย

ที่มา : The Verge