วัยรุ่นอเมริกันสนใจ Facebook ลดลงต่อเนื่อง ถูกมองว่า มีแต่ Fake News เป็นที่สำหรับคนรุ่นลุง

ช่วงต้นปีที่ผ่านมา นักวิจัยจาก Facebook ได้แชร์สถิติที่น่าตกใจออกมา พบว่าผู้ใช้ที่เป็นวัยรุ่นของ Facebook ในสหรัฐอเมริกาลดลง 13% ตั้งแต่ปี 2019 โดยคาดว่าจะลดลงถึง 45% ในช่วงอีก 2 ปีข้างหน้า ส่งผลให้ผู้ใช้รายวันบนแพลตฟอร์มลดลงอย่างรวดเร็ว

ส่วนผู้ชายที่เป็นหนุ่มสาวอายุระหว่าง 20 – 30 ปี มีการใช้งานลดลง 4% ในช่วงเวลาเดียวกัน จุดที่แย่ที่สุดที่สังเกตเห็นคือ ยิ่งผู้ใช้อายุน้อยลงเท่าไหร่ พวกเขาจะยิ่งมีส่วนร่วมกับแอป Facebook น้อยลงเท่านั้น มันทำให้ตีความได้ว่า Facebook กำลังสูญเสียแรงดึงดูดกับกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นรุ่นใหม่อย่างรวดเร็ว 

สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้นักวิจัยเขียนไว้ในบันทึกภายในเลยว่า วัยรุ่นจะเลือกใช้งาน Facebook น้อยลงเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาอายุมากขึ้น Facebook กำลังเผชิญกับการลดลงอย่างรุนแรงของผู้ใช้ที่มีอายุน้อยมากกว่าที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ด้วยซ้ำ 

ในขณะเดียวกันโซเชียลมีเดียอื่น ต่างค่อยๆ เติบโตขึ้น จากข้อมูลของช่วงต้นปีนั้น Facebook พบว่ากลุ่มผู้ใช้งานที่เป็นวัยรุ่นใช้เวลาไปกับแอป TikTok มากกว่า Instagram ถึง 2-3 เท่าตัว รวมถึงการที่วัยหนุ่มสาวเลือกที่จะใช้ Snapchat สื่อสารกันมากขึ้น

ผลิตภัณฑ์ของเรายังคงใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้ใช้ที่เป็นวัยรุ่น แต่เราต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจาก Snapchat และ TikTok

โซเชียลมีเดียต่างต้องการให้วัยรุ่นใช้บริการของตน ซึ่ง Facebook ก็ไม่ต่างกัน

Joe Osborne โฆษกของ Facebook กล่าวเอาไว้

ส่วน Instagram ถึงแม้มันยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ใช้งานที่เป็นวัยรุ่น แต่ IG ก็เริ่มสูญเสียการมีส่วนร่วมในตลาดที่สำคัญๆ อย่างเช่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ที่สำคัญ ฐานอายุเฉลี่ยของผู้ใช้งาน Facebook เริ่มจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

รายงานที่รวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้งานกลุ่มคนหนุ่มสาวมองว่า Facebook เริ่มกลายเป็นที่สำหรับคนวัย 40-50 ปี และคอนเทนต์บนนั้นเริ่มน่าเบื่อ มีแต่ fake news และเรื่องบิดเบือนจำนวนมากทำให้เกิดความเข้าใจผิดและคิดในแง่ลบ โดยพวกเขามักจะต้องไถและเลื่อนผ่านคอนเทนต์เหล่านั้นอยู่เป็นประจำ รวมถึงความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว

Facebook has lost generation
สไลด์หนึ่งของพรีเซนเทชั่นภายในของ Facebook เมื่อต้นปี 2021

ในพรีเซนเทชั่นเมื่อเดือนมีนาคม 2021 ต่อ Chris Cox ผู้บริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Facebook แสดงให้เห็นว่าการลงทะเบียนบัญชีผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปีลดลงถึง 26% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วใน 5 ประเทศชั้นนำ มีจุดสังเกตคือ บริษัทมองเห็นว่าระดับความมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นวัยรุ่นนั้นต่ำกว่าและค่อยๆ ลดลงเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ใช้ที่มีอายุสูงกว่า รวมถึงข้อความที่วัยรุ่นส่งถึงกันผ่าน Messenger ลดลงถึง 16% จากปีที่แล้ว

ในอีกสไลด์หนึ่ง อธิบายเกี่ยวกับการจัดการช่องว่างการมีส่วนร่วมที่มีอยู่ระหว่างผู้ใช้ที่มีอายุน้อยกับผู้ใช้สูงอายุ ในรายงานระบุเอาไว้ว่าผู้ใช้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีในสหรัฐฯใช้เวลาบน Facebook เฉลี่ย 24 นาทีต่อวัน ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่สูงกว่าผู้ใช้ที่มีอายุน้อย

Facebook has lost generation
อีกหนึ่งสไลด์ภายในของ Facebook ที่พยายามทำความเข้าใจวัยรุ่นและสิ่งที่พวกเขาต้องการ

Facebook ได้ทำการวัดฐานผู้ใช้ภายในเทียบกับการประมาณการประชากรจากสหประชาชาติในบางประเทศ โดยที่หากจำนวนผู้ใช้รายเดือนของโซเชียลมีเดียในกลุ่มอายุเดียวกันเท่ากันกับที่ประมาณการไว้สำหรับภูมิภาคนั้นๆ แสดงให้เห็นถึงความอิ่มตัวของแพลตฟอร์มนั้น โดยข้อมูลในพรีเซนเทชั่นอธิบายให้เห็นภาพว่าอายุของผู้ใช้ Facebook โดยเฉลี่ยนั้นเพิ่มขึ้นอย่างไม่สมส่วนกับอายุเฉลี่ยของประชากรเมื่อเวลาผ่านไป หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป อายุเฉลี่ยของผู้ใช้ Facebook จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และอาจทำให้ผู้ใช้ที่อายุน้อยเลิกสนใจการใช้ Facebook ไปเลยก็ได้

ความอิ่มตัวในหมู่ผู้ใช้วัยรุ่นไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับ Facebook เท่านั้น แต่ Instagram เองก็ด้วย โดยเริ่มมีความอิ่มตัวกับผู้ใช้ในสหรัฐฯ ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ทำให้เห็นจุดที่น่าเป็นห่วงโดยบนแพลตฟอร์มมีจำนวนโพสต์ของผู้ใช้ที่เป็นวัยรุ่นลดลง 13% จากปี 2020 ในทางตรงกันข้าม การใช้งานบน TikTok ค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่วัยรุ่น

ผลจากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา ส่งผลให้ Facebook และ Instagram พยายามที่จะปรับตัว และเอาใจผู้ใช้ที่เป็นวัยรุ่นด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้ถูกใจบรรดาวัยรุ่นมากขึ้น

Facebook ได้รีแบรนด์และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta เพื่อมุ่งเน้นการเป็น Metaverse ส่วนหนึ่งเลยเกิดมาจากความพยายามที่จะดึงกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาวเอาไว้ให้อยู่กับแพลตฟอร์มนานที่สุด

ไม่มีอะไรแน่นอนและชัดเจนเลยว่า แผนการของ Facebook นั้นจะชนะใจกลุ่มผู้ใช้ที่มีอายุน้อยมากพอหฟรือไม่ เราคงต้องจับตาดูทิศทางของ Facebook กันต่อไป

ที่มา : The Verge