Apple เตรียมถอดแอพ Amphetamine ออกจาก App Store เพราะชื่อและไอคอน เกี่ยวข้องกับยาเสพติด

ผู้พัฒนา Amphetamine แอปสำหรับป้องกันไม่ให้ Mac เข้าสู่ Sleep Mode ถูก Apple หาว่าละเมิดกฎของ App Store แม้ว่าแอปของพวกเขาจะให้บริการมาตั้งแต่ปี 2014 และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้ยาเลยก็ตาม

William C. Gustafson ผู้พัฒนากล่าวเมื่อวันที่ 1 มกราคมบน Reddit และ Github ว่า Apple ได้แจ้งให้เขาทราบว่าเขามีเวลาสองสัปดาห์ในการ “ลบการอ้างอิงถึงคำว่า ‘Amphetamine’ (ที่แปลว่ายาบ้าหรือยาขยันนั่นเอง) ทั้งหมดออกและยกเลิกการใช้โลโก้รูปเม็ดยา” หากเขาไม่ปฎิบัติตาม Apple กล่าวว่าจะลบแอปออกจาก App Store ในวันที่ 12 มกราคม

Gustafson กล่าวว่า Apple ติดต่อเขาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคมและบอกเขาว่าแอปของเขานั้น “ดูเหมือนจะส่งเสริมการใช้สารเสพติดที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชื่อแอปและไอคอนของคุณที่ดูเหมือนมีการอ้างอิงถึงสารเสพติด”

แอปนี้สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีบน macOS และถูกดาวน์โหลดมากกว่า 432,000 ครั้ง ด้วยคะแนนรีวิว 4.8

Gustafson กล่าวว่าก่อนหน้านี้ก็ไม่มีอะไร และ Apple ก็เคยนำ แอปพลิเคชั่นของเขาขึ้นบนหน้าฟีเจอร์แอปเด่นน่าสนใจบน Mac App Store ด้วย แถมเขายังติดต่อกับพนักงานของ Apple มากมายเกี่ยวกับการอัปเดตนับตั้งแต่การเปิดตัว โดยที่ไม่มีใครพูดถึงหรือสนใจโลโก้รูปเม็ดยาของเขาเลย

หลักเกณฑ์เฉพาะของ App Store ที่ Gustafson ถูกกล่าวหาว่าละเมิดคือ “ไม่อนุญาตให้ใช้แอปที่ส่งเสริมการบริโภคยาสูบหรือผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ ยาเสพติดที่ผิดกฎหมายหรือแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไปใน App Store แอปที่สนับสนุนให้ผู้เยาว์บริโภคสารเหล่านี้จะถูกปฏิเสธ Apple จะไม่อนุญาตให้มีการอำนวยความสะดวกในการขายกัญชา ยาสูบหรือสารควบคุม (ยกเว้นร้านขายยาที่ได้รับอนุญาต)”

ผู้พัฒนากล่าวว่าแอปพลิเคชั่นของเขาไม่ได้ทำอะไรเหมือนที่ Apple กล่าวหา และกล่าวว่าการเปลี่ยนชื่อแอปจะทำลายการจดจำชื่อแบรนด์และอาจทำให้ผู้ใช้ค้นหาหรือทำการอัปเดตในอนาคตได้ยากขึ้น

ในตอนแรก Gustafson กล่าวว่าเขาไม่ได้คาดหวังว่าการอุทธรณ์ของเขาจะประสบความสำเร็จและแน่นอนว่า Apple ค่อนข้างเข้มงวดกับกฎของ App Store บริษัทต้องเผชิญกับการผลักดันจากนักพัฒนาในหลาย ๆ ด้าน ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่าง Spotify, Tile และ Epic Games ได้จัดตั้งกลุ่มที่เรียกว่า Coalition for App Fairness ที่กล่าวว่ากฎของ Apple สร้างการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมบน App Stores

ที่มา theverge