vivo

Vivo ขยายธุรกิจสู่ Europe พร้อมจับมือสนับสนุน UEFA ฟุตบอลชิงแชมป์

Vivo ขยายฐานลูกค้าไปยังตลาด Europe ได้ประกาศการขยายตลาดสู่ 6 ประเทศในทวีปยุโรป พร้อมจับมือ UEFA ประกาศสนับสนุนฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือศึกยูโรปี 2020 และ 2024

Vivo ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนชั้นนำระดับโลก กำลังขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดยุโรป โดยระหว่างงานแถลงข่าวออนไลน์ต่อสื่อมวลชน บริษัทฯ ได้ประกาศการขยายตลาดสู่ 6 ประเทศในทวีปยุโรป ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี โปแลนด์ สเปน และสหราชอาณาจักร โดยการเข้าสู่ตลาดยุโรปครั้งนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมด้วยการทำวิจัยและสัมภาษณ์ผู้คนจำนวน 9,000 คนทั่วยุโรป ตั้งเป้าที่จะทำความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคแต่ละราย โดยงานแถลงข่าวครั้งนี้ ตัวแทนจาก Vivo ยังได้ประกาศการร่วมงานกับหุ้นส่วนหลักต่างๆ รวมถึงเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์แรกของสมาร์ตโฟนและอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่จะเข้ามาสู่ตลาดทวีปยุโรป

เดนนี่ เติง รองประธานกรรมการ ประธานกรรมการธุรกิจภาคพื้นยุโรปของ Vivo กล่าวว่า “พวกเราตื่นเต้นเป็นอย่างมากกับการได้เข้ามาทำตลาดในยุโรป และขอใช้โอกาสนี้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ รวมถึงขอนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์แรกของเราสู่ตลาดยุโรป โดยปีนี้นับเป็นปีที่ท้าทายสำหรับผู้คนและธุรกิจทั่วโลก สิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนไปอย่างมาก อย่างไรก็ตามความมุ่งมั่นต่อผู้คนและต่อธุรกิจของเราในยุโรปยังเหมือนเดิม สอดคล้องกับปรัชญาในการทำธุรกิจของเราเสมอมาคือการทำในสิ่งที่ใช่ด้วยวิธีการที่ถูกต้องโดยนับตั้งแต่ก้าวแรกของพวกเราสู่ตลาดนานาชาติในปี 2557 เรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมและคุณภาพแก่ผู้บริโภค ในฐานะที่เราคือแบรนด์ที่ผู้คนกว่า 370 ล้านคนทั่วโลกเชื่อมั่น เรามั่นใจว่าเราจะสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคทั่วยุโรปได้

บริษัทสตาร์ทอัพอายุกว่า 25 ปี

Vivo ได้ตั้งสำนักงานในยุโรปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางเชื่อชาติของพนักงานในบริษัทฯ โดยกลยุทธ์ธุรกิจระดับนานาชาติที่สำคัญของ Vivo คือ “more local, more global” หรือยิ่งเราเข้าใจท้องถิ่นที่เราเข้าไปทำธุรกิจมากเท่าไร เราก็ยิ่งก้าวสู่ความเป็นบริษัทระดับโลกมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งสำนักงานใหญ่ทวีปยุโรปในเมืองดึสเซิลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี มีพนักงานกว่า 70 คนจาก 16 สัญชาติทำงานร่วมกัน โดยทุกคนมีความเป็นมาและผ่านประสบการณ์จากหลายหลายอุตสาหกรรม ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค, ยานยนต์, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์,การท่องเที่ยวและการโรงแรม รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ภายในบ้าน ปัจจุบัน ทีมงานประจำทวีปยุโรปประกอบด้วยพนักงานผู้เชี่ยวชาญกว่า 120 คน ทำงานร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในแต่ละอุตสาหกรรมจากประเทศที่ Vivo เข้าทำตลาด เพื่อทำให้มั่นใจว่าบริษัทฯ ได้นำประสบการณ์ทรงคุณค่า ตลอดจนข้อมูลเชิงลึกจากคนในพื้นที่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

แบรนด์ Vivo ก่อตั้งครั้งแรกในปี 2538 โดยผลิตและจำหน่ายโทรศัพท์บ้าน (landline) และฟีเจอร์โฟน (feature-phones) หรือโทรศัพท์ที่มีฟังก์ชันการใช้งานแบบทั่วไป ก่อนเติบโตและพัฒนาไปสู่แบรนด์สมาร์ตโฟน Vivo ในปี 2554 ปัจจุบันนี้แบรนด์สมาร์ตโฟน Vivo มียอดขายเป็นอันดับสองในตลาดสมาร์ตโฟนประเทศจีน เป็นอันดับสองในประเทศอินเดีย และครองอันดับหนึ่งตลาดสมาร์ตโฟนในประเทศอินโดนีเซีย1 ทั้งนี้ สมาร์ตโฟน Vivo มีวางจำหน่ายในกว่า 30 ตลาดทั่วโลก และมีส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกอยู่ที่ 9%2 ยิ่งไปกว่านั้น หากนับเฉพาะสมาร์ตโฟน 5G แบรนด์ Vivo สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกถึง 12.9%

Vivo มีโรงงานผลิตถึง 5 โรงงาน แบ่งเป็น 2 แห่งในประเทศจีนและอีก 3 แห่งในประเทศบังกลาเทศ อินเดีย และอินโดนีเซียตามลำดับ โดย Vivo ภาคภูมิใจที่สามารถผลิตสมาร์ตโฟนหลากหลายรุ่นที่นำเสนอสุดยอดเทคโนโลยีล้ำหน้าเป็นเจ้าแรกของวงการ อาทิ Vivo X1 สมาร์ตโฟนรุ่นแรกที่มีติดตั้งชิปเซ็ตเสียง hi-fi, Vivo X5Max สมาร์ตโฟนบางที่สุดในโลกในยุคนั้น, Vivo X20Plus UD สมาร์ตโฟนรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยีสแกนนิ้วบนหน้าจอ และในปี 2561 Vivo ได้เปิดตัว Vivo NEX สมาร์ตโฟนจอไร้ขอบเครื่องแรกพร้อมด้วยกล้องเซลฟีแบบ pop-up ที่พัฒนาจากคอนเซปต์สมาร์ตโฟน APEX   

“เมื่อเรามองย้อนกลับไปดูตลอดเส้นทางการเติบโตของเรา ต้องขอบคุณความทุ่มเทพยายามของเพื่อนร่วมงานของเราในศูนย์วิจัยและพัฒนาทั้ง 9 แห่งทั่วโลก โดยการร่วมมือกันของผู้เชี่ยวชาญกว่า 10,500 คน ที่ร่วมกันพัฒนาสมาร์ตโฟนและอุปกรณ์เสริมในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ ด้านซอฟต์แวร์ ด้านกล้อง ด้านเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ รวมถึงด้านเครือข่ายแห่งอนาคตอย่าง 5G ตลอดจนด้านการจดสิทธิบัตรเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงด้านการพัฒนาเอไอหรือปัญญาประดิษฐ์ ทั้งหมดเพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานแก่ผู้ใช้งานทุกคน” มร. เติง กล่าวเพิ่มเติม

ความสำเร็จของ Vivo เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดมาจากความบังเอิญ แต่เกิดจากคติพจน์ของบริษัทฯ ที่สะท้อนวัฒนธรรมองค์กรของ Vivo ที่เน้นที่การทำในสิ่งที่ใช่ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ซึ่งคติดังกล่าวถ่ายทอดสู่การดำเนินธุรกิจที่ได้รับการยอมรับจากหุ้นส่วนและผู้ใช้งาน Vivo ตลอดจนสะท้อนผ่านการพัฒนาและผลิตสมาร์ตโฟนที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงของผู้ใช้งานจากทีมผู้ผลิตที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์หลากหลาย นอกจากนี้ คตินี้ยังถูกส่งต่อสู่ซัพพลายเชนทุกระดับ ตั้งแต่การผลิตไปถึงการจัดจำหน่าย ที่ดำเนินการจัดจำหน่ายผ่านบริษัทลูกในเครือ Vivo ยิ่งไปกว่านั้น Vivo คือแบรนด์สมาร์ตโฟนที่ไม่ได้สร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่ หากแต่คำนึงถึงประสบการณ์การใช้งานจริงโดยยึดผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้เกิดเป็นโซลูชันนวัตกรรมที่ตอบทุกการใช้งานในชีวิตประจำวัน

ส่งต่อความหลงใหล: Vivo จับมือยูฟ่าส่งต่อความหลงใหลของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020

ในงานแถลงข่าว Vivo ยังได้ประกาศความร่วมมือกับสหภาพสมาคมฟุตบอล Europe หรือ ยูฟ่า (UEFA) สำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปประจำปี 2020 และ 2024 โดยบทบาทของ Vivo คือการเป็น โกลบอล สมาร์ตโฟน (Global Smartphone) ของการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ทั้งนี้ ประธานกรรมการภาคพื้นยุโรปของ Vivo กล่าวสรุปว่า “เราได้ร่วมกันส่งต่อความหลงใหลต่อกีฬาฟุตบอลแก่เพื่อนของเราทั่วโลก ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลสำคัญของเราในการร่วมมือกับยูฟ่าในต่อการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป โดยทั้งยูฟ่าและ Vivo ต่างแบ่งปันความหลงใหลต่อความสมบูรณ์แบบ รวมถึงนำเสนอประสบการณ์ที่แตกต่างและน่าตื่นเต้นแก่แฟนคลับของเรา โดยการร่วมมือครั้งนี้นับเป็นคำมั่นสัญญาระยะยาวของเราต่อภูมิภาคยุโรป”

เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ตโฟนครั้งแรกในตลาดยุโรป

งานแถลงข่าวครั้งนี้ ยังถือเป็นโอกาสให้ตัวแทนจาก Vivo ได้แนะนำกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ตโฟนและอุปกรณ์เสริมกลุ่มแรกสู่ตลาดยุโรป นำโดย Vivo X51 5G ที่มีคุณสมบัติกล้องกันสั่น (gimbal-mounted) นวัตกรรมการถ่ายภาพที่มั่นคงไม่สั่นไหว ทำให้การถ่ายภาพและวีดีโอมีความแม่นยำ ในขณะที่การเคลื่ิอนไหวหรือในที่แสงน้อยก็ให้ภาพที่ชัดเจนเช่นกัน

บริษัทฯ ยังได้นำเสนอซีรีส์สมาร์ตโฟนระดับกลางจาก Vivo ใน Y series ทั้ง Y70, Y20s และ Y11s โดยเน้นจุดเด่นที่แบตเตอรี่ ดีไซน์ และคุณสมบัติอันโดดเด่นของกล้อง โดย Y Series จะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักของ Vivo ในยุโรป ซึ่งนับเป็นไลน์อัพผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของตลาดนี้ เนื่องจาก 62.5% ของสมาร์ตโฟนทั้งหมดที่ถูกจำหน่ายในยุโรปมีราคาต่ำกว่า 300 ยูโร นอกจากนี้ สมาร์ตโฟนใน Y Series ยังเหมาะกับผู้ใช้งานทั้งกลุ่มวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ เนื่องจากแบตเตอรี่มีความจุมากและใช้งานได้ง่าย โดย Vivo Y20s และ Y11s มีแบตเตอรี่ความจุขนาด 5,000mAh และรองรับเทคโนโลยีการชาร์จเร็วแบบ Clever Charging สามารถเปิดเครื่องต่อเนื่องได้นานถึงสองวันต่อการชาร์จเพียงครั้งเดียว

ทั้ง Vivo X และ Y series ติดตั้งชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon และใช้ระบบปฏิบัติการณ์แอนดรอยด์ในเวอร์ชั่นใหม่ที่เรียบง่ายแบบมินิมอล ส่งผลให้อุปกรณ์สามารถทำงานอย่างลื่นไหลและเป็นธรรมชาติ มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีแก่ผู้ใช้

สุดท้ายนี้ Vivo ยังแนะนำอุปกรณ์เสริมหูฟังไร้สาย 2 ซีรีส์ด้วยกัน โดยทั้งสองซีรีส์มอบเสียงเปี่ยมคุณภาพ พร้อมฟังก์ชัน Google Assistant และง่ายต่อการพกพา รุ่นแรกคือ Vivo Wireless Sport ที่ตั้งใจให้ผู้ใช้งานที่เป็นคนแอคทีฟที่ชอบฟังเพลงระหว่างไปยิมหรือออกกำลังกายกลางแจ้ง ส่วนอีกรุ่นคือ Vivo True Wireless Earphones (TWS) ที่มาในรูปแบบกะทัดรัด ขนาด 14.2 มิลลิเมตร โดยตั้งใจจะให้เป็นอุปกรณ์ที่จับคู่กับ Vivo X51 5G ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ด้วย Qualcomm aptX audio codecs และเทคโนโลยีด้านเสียงที่ล้ำหน้า เพื่อมอบประสบการณ์ด้านเสียงเหนือระดับที่สามารถปรับความดังได้ตามการได้ยินของผู้ใช้งานแต่ละคน