Uber ในบราซิลประสบปัญหาคนขับถูกหลอกไปชิงทรัพย์

ที่ผ่านมาเราน่าจะเคยได้ข่าวเกี่ยวกับคนขับ Uber ทำร้ายผู้โดยสารมาแล้ว  หากแต่ในประเทศบราซิลกลับกลายเป็นตรงกันข้าม  เมื่อกลายเป็นผู้ขับ Uber เสียเองที่ถูกผู้โดยสารหลอกไปปล้นและทำร้ายร่างกาย

บราซิลเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการก่ออาชญากรรมอยู่ในระดับสูง  และในช่วงหลังมานี้ Uber เริ่มเปิดให้ผู้โดยสารจ่ายค่าโดยสารเป็นเงินสดได้  ทำให้คนขับ Uber เริ่มถือเงินสดในมือมากขึ้น  และกลายเป็นเป้าหมายในการชิงทรัพย์  แม้ว่าก่อนหน้านี้ Uber จะเคยทำการประเมินแล้วว่าการที่คนขับถือเงินสด  จะทำให้คนขับตกเป็นเป้าหมายมากขึ้นหรือไม่  ซึ่งทาง Uber เองระบุว่าไม่ทำให้อัตราความเสี่ยงของคนขับเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

ทั้งนี้ทั้งตำรวจและคนขับต่างเห็นตรงกันข้ามกับ Uber และกล่าวว่า Uber ประเมินอัตราอาชญากรรมในบราซิลต่ำเกินไป

โดยปกติแล้วแท็กซี่ในบราซิลจะเลี่ยงการเข้าไปส่งผู้โดยสารในย่านอาชญกรรม  หากแต่คนขับ Uber จะไม่สามารถรับรู้ปลายทางของคนเรียกรถได้จนกว่าจะตอบตกลงแล้ว  จึงทำให้ผู้ร้ายเลือกที่จะสมัครบัญชี Uber ด้วยข้อมูลปลอม (ซึ่ง Uber ก็ยอมให้สมัคร) และกดเรียก Uber ให้ไปส่งในย่านอาชญากรรม  ก่อนจะทำการปล้นและทำร้ายร่างกายคนขับ

กรณีร้ายแรงกรณีหนึ่งที่เกิดขึ้นคือนาย Modolo Filho คนขับ Uber วัย 52 ปี  ถูกผู้ร้ายเรียกไปยังย่านอาชญากรรม  ก่อนจะใช้มีดแทงคนขับและขโมยรถ SUV พร้อมทรัพย์สินของเขาหนีไป  และปล่อยให้เขานอนเสียชีวิตอยู่ริมถนน  ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้คนขับ Uber ในบราซิลจำนวนมากลุกขึ้นมาประท้วงให้บริษัทหาทางแก้ไข  หรือไม่พวกเขาก็จะเลิกขับ Uber ไปเสียเลย

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ Uber ออกมาปรับปรุงระบบของตนเอง  โดยบังคับให้ผู้โดยสารต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน  พร้อมทั้งจะบล็อคผู้ใช้ออกจากระบบหากมีการยกเลิกการเรียกรถบ่อยๆ  หรือมีพฤติกรรมน่าสงสัยอื่นๆ  ส่วนทางด้านคนขับเองก็มีตัวเลือกให้เลิกรับเงินสดด้วยเช่นกัน

อ้างอิง – Engadget, Gizmodo