สายการบิน Delta หยุดบินทั่วโลก เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์ล่ม

ยุคนี้สายการบินไหนๆ ต่างก็เอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการจัดการตารางการบิน  ข้อมูลผู้โดยสาร  และข้อมูลอื่นๆ อีกมากมาย  เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้สายการบินจัดการข้อมูลพวกนี้ได้ง่ายขึ้น  และมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง

แต่ปัญหามันเกิดเมื่อระบบล่มนี่เองครับ  โดยเมื่อวานนี้เวลา 5:05 นาฬิกา ตามเวลาสหรัฐอเมริกา (ราวห้าโมงเย็นตามเวลาประเทศไทย) ระบบคอมพิวเตอร์ของสายการบิน Delta เกิดล่มลง  ส่งผลให้เที่ยวบินช่วงนั้นต้องดีเลย์ออกไปโดยไม่มีกำหนด  ซึ่งต่อมาในเวลา 6:55 นาฬิกา  ทางสายการบินก็ออกมาประกาศถึงสาเหตุที่ระบบล่มนั้นเป็นเพราะ “ไฟดับ” ครับ

เหตุการนี้ต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์ไฟดับใน Atlanta ที่เริ่มดับมาตั้งแต่ช่วง 2:30 นาฬิกา  และศูนย์ข้อมูลของสายการบินไม่สามารถสลับไปใช้งานระบบไฟสำรองได้  ทำให้ระบบล่มลงในที่สุด

โดยในวันจันทร์นั้นมีเที่ยวบินที่เตรียมเดินทางอยู่ทั้งหมดกว่า 6000 เที่ยวบินทั่วโลก  ซึ่งหลังจากเกิดเหตุระบบล่มนั้นทำให้สายการบินจำเป็นต้องยกเลิกเที่ยวบินไปกว่า 1,000 เที่ยวบิน  และมีเที่ยวบินที่สามารถออกเดินทางได้เพียงแค่ 3,340 เที่ยวบินเท่านั้น (ที่เหลือคือติดดีเลย์ข้ามวัน) และแม้ว่าหลังจากที่กู้ระบบขึ้นมาได้แล้ว  ก็ยังคงส่งผลกระทบถึงเที่ยวบินเพิ่มเติมในเช้าวันอังคาร  ทำให้ต้องยกเลิกเพิ่มไปอีกกว่า 300 เที่ยวบินอีกด้วย

จากเหตุการณ์นี้  สายการบินจึงประกาศชดเชยลูกค้าโดยให้ลูกค้าทำเรื่องขอคืนเงินได้สำหรับเที่ยวบินที่ถูกยกเลิก  หรือสามารถเลือกเปลี่ยนเที่ยวบินได้ฟรีก็ได้เช่นกันถ้าหากเที่ยวบินไม่ได้ถูกยกเลิกครับ

ความเห็นของเรา

ในยุคที่ทุกอย่างพึ่งพาระบบอิเลคโทรนิคอย่างในทุกวันนี้  ไฟฟ้าถือเป็นเรื่องจำเป็นมากจริงๆ ครับ  ย้อนกลับไปเมื่อ 2013 ก็เคยเกิดเหตุการคล้ายกันนี้กับอีกสายการบินหนึ่งด้วยเหมือนกัน  ซึ่งในครั้งนั้นส่งผลให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินกว่า 700 เที่ยวบินเลยทีเดียว

และด้วยทางสายการบิน Delta เองนั้นเรียกได้ว่าเป็นสายการบินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา  การที่ระบบล่มลงแบบนี้นั้นสร้างความเสียหายแบบวินาทีต่อวินาทีเลยทีเดียวครับ

อีกประเด็นหนึ่งที่ทั่วโลกหวั่นกลัวกันตอนนี้อย่างเช่นเชื้อเพลิงที่ร่อยหรอลงไปทุกวันๆ จนเป็นกังวลว่าในอนาคตเราจะไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากพอความต้องการของมนุษย์  ซึ่งหากเรายังไม่สามารถหาพลังงานทดแทนอื่นๆ ที่ปลอดภัยและผลิตได้เยอะแล้วล่ะก็  ในอนาคตเหตุการณ์แบบนี้ต้องเกิดเพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอน

ที่มา – Gizmodo