Microsoft เปิดโค๊ด Malmo โปรแกรมสอน AI ในเกม Minecraft

หลังจากที่ Microsoft เข้าซื้อเกม Minecraft ก็ได้เอาเกมนี้มาขยายผลต่ออย่างต่อเนื่อง  เช่นการเอาไปใส่ใน HoloLens หรือการเอาไปทำตัวเกมรุ่นสำหรับภาคการศึกษา  หรือแม้กระทั่งการเอาไป “สอน AI” ในโครงการ Malmo ที่เริ่มเปิดให้นักวิจัยกลุ่มเล็กๆ ได้เข้าถึงตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในชื่อโครงการ AIX ซึ่งในตอนนี้ Microsoft ได้เปิดโค๊ดของโครงการ AIX พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น Malmo เพื่อให้คนทั่วไปได้ลองนำมาศึกษากันเรียบร้อยแล้วครับ

Malmo นั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้วิจัยสามารถสร้าง AI ที่สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ได้ด้วยตนเอง  ซึ่งจะช่วยให้ AI มีความสามารถในการเรียนรู้, ดำเนินบทสนทนา, ตัดสินใจ, และกระทำภารกิจที่ซับซ้อนได้  ซึ่งทีมวิจัยได้ยกตัวอย่างเป็นระบบรับคำสั่งเสียง  ที่แม้ปัจจุบันจะทำตามคำสั่งได้ดี  แต่เบื้องหลังของระบบนี้จริงๆ เป็นเพียงแค่การจดจำแพทเทิร์นคำพูดเท่านั้น  ระบบไม่ได้มีความเข้าใจในสิ่งที่ผู้ใช้พูดกับมันแต่อย่างใด

โดยปกติแล้วการสอน AI นั้นจะทำในสภาพแวดล้อมที่จำกัด  ซึ่ง Microsoft เห็นว่าสภาพแวดล้อมในเกม Minecraft นั้นกว้างใหญ่และหลากหลายกว่ามาก  จึงคิดนำมาใช้ในการใช้สอน AI นั่นเอง

ตัวโปรแกรมนั้นจะเป็น AI ที่เข้าไปเล่นเกม Minecraft ซึ่งในขั้นต้นมันจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเกมเลย  แต่จะค่อยๆ เรียนรู้การเดิน  การไต่เนิน  การเอาตัวรอด  และการคราฟท์ของต่างๆ ภายในเกม

ซึ่งจุดมุ่งหมายจริงๆ ของโครงการนี้คือการพยายามสร้าง AI ที่มีความฉลาดได้อย่างมนุษย์  ซึ่งในอนาคตจะสามารถนำมาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ได้ในชีวิตประจำวัน  ตั้งแต่ช่วยทำอาหาร  ทำงานบ้าน  ขับรถ  การแสดง  ไปจนถึงงานอย่างการผ่าตัด

หากใครสนใจอยากลองสอน AI สามารถ ดาวน์โหลดได้จากบน GitHub ซึ่งตัว Malmo นั้นเป็น Mod สำหรับเกม Minecraft เวอร์ชันสำหรับคอมพิวเตอร์ (ไม่รองรับเวอร์ชันมือถือ  หรือ Minecraft Pocket) รองรับการทำงานทั้งบน Windows, Mac OS, และ Linux โดยผู้ใช้สามารถเขียนสคริปท์ด้วยภาษาใดก็ได้ตามแต่ถนัด

ความเห็นจากเรา

แม้ทุกวันนี้ AI จะพัฒนาไปมาก (เช่นระบบช่วยเหลืออย่าง Siri, Google Now, หรือ Cortana) แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีข้อจำกัดมากมาย  และไม่สามารถเข้าใจความต้องการของผู้ใช้ได้ในทุกกรณี

การพยายามสร้าง AI ที่สามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์นี้  จึงนับเป็นก้าวที่ดีในการนำ AI มาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเราต่อไปในอนาคตครับ

ที่มา – TechCrunch, Microsoft Blog