iPhone SE “ก้าวที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีอะไรใหม่”

หลังจากที่คืนวันจันทร์ที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา Apple เปิดตัว iPhone SE ที่ตรงตามที่ข่าวหลุดก่อนหน้านี้มาเรียกว่าแทบจะหมดเปลือก ไม่เหลืออะไรให้ตื่นเต้นหรือลุ้นกันเลย และหลังจากที่จบงานเปิดตัวไปก็มีทั้งกระแสตอบรับอยากได้ และทางตรงกันข้ามก็มีหลายคนบอกว่าผิดหวัง เราจะมาดูกันว่า iPhone หน้าจอ 4 นิ้วรุ่นโบราณที่ Apple จับมาอัพเกรดเครื่องในใหม่คราวนี้ จะมีอะไรดีและมีอนาคตต่อไปแบบไหนกัน

ทำไม Apple ถึงให้ความสำคัญกับสมาร์ทโฟนหน้าจอ 4 นิ้ว

ย้อนไปในอดีตกาล Apple สร้าง iPhone ขึ้นมาด้วยหน้าจอขนาด 3.5 นิ้ว ที่องค์ศาสดาสตีฟ จ็อบส์บอกเอาไว้ว่ามันคือขนาดหน้าจอของสมาร์ทโฟน ที่พอดีกับการใช้งานด้วยมือเดียวได้ดีที่สุด แต่ตั้งแต่จ็อบส์ได้จากไป iPhone รุ่นต่อๆ มาก็จอใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มาเป็น 4 นิ้ว,  4.7 นิ้ว และ 5.5 นิ้ว ตามกระแสของทางฝั่งสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ ทว่าเอาเข้าจริงๆ iPhone ขนาดจอ 4 นิ้วนี่ล่ะ คือขนาดที่มีคนนิยมใช้มากที่สุด

และถึงแม้ว่า iPhone จะมีจอใหญ่ขึ้น แต่เครื่องรุ่นที่หน้าจอขนาดเล็ก Apple ก็ยังคงมีอยู่ในตลาดมาโดยตลอด สำหรับในหลายๆ ประเทศ iPhone 5, 5c หรือ 5s เป็นเครื่องที่บรรดาโอเปอเรเตอร์เอาไว้ขายแบบให้เครื่องฟรีแต่ติดสัญญาใช้งานเครือข่าย จริงๆ ต้องบอกว่า Apple ทำทั้งส่วนของ Hardware และ Software ออกมาได้อย่างลงตัวและยอดเยี่ยมมากๆ ปัจจุบันสมาร์ทโฟนรุ่นที่เคยออกขายเมื่อ 5 ปีที่แล้วยังสามารถอัพเดต OS เวอร์ชั่นใหม่ได้ (ถึงแม้จะช้าอืดแต่ก็ยังใช้งานได้) จึงทำให้ iPhone รุ่นเก่าที่แม้ว่าจะออกวางขายมาหลายปียังคงขายได้และมีคนใช้งานอยู่

iPhone SE

iPhone 5c ความผิดพลาดที่ต้องจดจำ

ในปีที่ Apple เปิดตัว iPhone 5s รุ่นปรับปรุงเพิ่ม ครั้งนั้น Apple ได้ออก iPhone 5c ออกมาพร้อมกัน โดยที่วางตำแหน่งให้มันมาแทน iPhone 5 ที่เป็นรุ่นเดิมในตลาด ปรับเปลี่ยนวัสดุตัวเครื่องจากโลหะมาเป็นพลาสติกแบบโพลีคาร์บอเนตและลดราคาลง ครั้งนั้น Apple หวังว่ามันจะสามารถจะเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มตลาดล่างกว่า iPhone รุ่นปกติ แต่ว่าทุกอย่างนั้นผิดคาดไปหมดสิ้น

ต้องยอมรับว่า iPhone 5c นั้นไม่ประสบความสำเร็จเลยในเรื่องของยอดขาย ขนาดที่ว่าเพียงแค่ไม่กี่เดือนต้องออกรุ่นความจุเล็กจิ๋วแค่ 8GB เพื่อที่จะกดราคาให้ถูกลงได้อีก แต่นั้นก็ยังไม่ทำให้ผู้คนสนใจในตัวมัน ถ้าให้วิเคราะห์ความผิดพลาดครั้งนั้นก็น่าจะเป็นที่การเลือกเอาวัสดุตัวเครื่องที่ทำออกมาแล้วดูไม่พรีเมี่ยม ดูราคาถูกอย่างกับมือถือจีนแดงเลยด้วยซ้ำ สวนทางกับภาพลักษณ์ของ Apple ที่เป็นแบรนด์ดูดี แถมราคานั้นก็ไม่ได้ถูกลงจนแตกต่างจากรุ่นใหม่ที่ออกพร้อมกันตอนนั้นอย่าง iPhone 5s ที่มีเพิ่มระบบสแกนลายนิ้วมือ Touch ID ขึ้นมา แถมกล้องก็ทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย

สุดท้าย iPhone 5c ก็ค่อยๆ หายออกไปจากสายการผลิตของ Apple เหลือไว้เพียงความเจ็บช้ำของโอเปอเรเตอร์ทั่วโลกที่แบกสต็อคเครื่องเอาไว้มหาศาลและใช้เวลานานร่วมปีกว่าจะขายโละทิ้งออกไปได้จนหมดเกลี้ยง

iPhone 5c

จอขนาด 4 นิ้วยังขายได้ แล้วจะให้เลิกขายทำไม

อย่างที่เอ่ยไปตอนแรกว่า iPhone ขนาดจอ 4 นิ้วยังเป็นขนาดที่มีคนใช้อยู่มากที่สุด และก็ยังมีคนซื้ออยู่ จึงไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ Apple จะเลิกขายเพื่อดันให้คนไปซื้อรุ่นจอที่ใหญ่ขึ้น และแทนที่จะนอนกินกับรุ่นเก่าอย่าง 5s ไปเรื่อยๆ Apple เลือกใช้วิธี refresh ผลิตภัณฑ์ให้สเปคภายในดีขึ้น และสามารถรองรับการใช้งานต่อไปได้อีกอย่างน้อย 2-3 ปีเลยทีเดียว

iPhone SE คือ “แฟรงเกนสไตน์”

สำหรับครั้งนี้ Apple ทำในสิ่งต่างจากตอน iPhone 5c ที่ลดสเปคแล้วลดราคา แต่เป็นการ “จับยำ” iPhone 3 รุ่นเข้าด้วยกัน แล้วขายในราคาที่ต่ำสุดในชั้นของ iPhone ทั้งหมด

  • รูปร่างหน้าตาภายนอก ทั้งวัสดุและขนาด เหมือนกับ iPhone 5s ทุกอย่าง เพิ่มเติมอย่างเดียวคือมีสีสุดฮิตอย่างโรสโกลด์ให้เลือก ซึ่งคาดว่าตอนที่ขายจริงน่าจะเป็นสีที่ขายดีที่สุด เป็นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้รู้ว่ามันคือ iPhone SE
  • ชิปประมวลผลใช้เป็น A9 รุ่นเดียวกับ iPhone 6s ล่าสุด benchmark ออกมาได้คะแนนดีกว่า iPhone 6s เสียอีก
  • กล้องหลัง iSight ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่ากับ iPhone 6s แต่กล้องหน้ายังกากอยู่ที่ 1.2 ล้านพิกเซลเท่าเดิม
  • RAM ให้มา 2 GB เท่ากับ iPhone 6s
  • ระบบสแกนลายนิ้วมือ Touch ID ยังใช้เป็น gen 1 รุ่นเก่า
  • ใส่ฟีเจอร์ใหม่ถ่ายภาพแบบ Live Photo เหมือนกับใน iPhone 6s ถึงแม้ไม่ได้ให้จอแบบ 3D Touch มาก็กดดูเคลื่อนไหวได้

นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมผมถึงเรียกมันว่า “แฟรงเกนสไตน์” เพราะมันคือการหยิบเอาชิ้นส่วนของเก่าจากโมเดลต่างๆ มาประกอบรวมกันจนได้รุ่นใหม่ออกมา การตั้งชื่อว่าiPhone SE ที่ย่อมาจากคำว่า “Special Edition” จึงดูขัดแย้งมากกับการที่ไม่ได้มีอะไรที่ “พิเศษ” เลยแม้แต่น้อยและ แถมนี่คือผลิตภัณฑ์ของบริษัท Apple ที่ภาพลักษณ์คือบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีชั้นนำของโลก กลับสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาโดยไร้ซึ่งนวัตกรรมใหม่ใดๆ เลย ก็ถือว่าสร้างความผิดหวังให้กับหลายคนที่รักในแบรนด์นี้ สำหรับส่วนตัวผมแล้วเชื่อว่าถ้าสตีฟ จ็อบส์ยังอยู่ iPhone SE ไม่มีทางได้เกิดขึ้นมาแน่นอน!!

iPhone SE Performance

แต่เชื่อเถอะ ว่ามันขายดีแน่นอน!!

ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีอะไรใหม่เลย แต่รับประกันได้เลยว่ามันจะเป็นอีกรุ่นที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของยอดขายทั่วโลก ด้วยการที่มันถูกวางตำแหน่งเอาไว้เป็นรุ่น “ล่างสุด” ของ iPhone ก็คือมาแทน iPhone 5s ไปเลย ราคาที่ตั้งนั้นอยู่ในระดับ Mid-range และ Upper Mid-range ซึ่งประสิทธิภาพการใช้งานของ iPhone SE นั้นทำได้สูสีกับสมาร์ทโฟนระบบ Android ราคาระดับเดียวกันที่อยู่ในตลาดราคานี้ได้

ทางด้านในอเมริกาและอีกหลายๆ ประเทศ ก็เตรียมให้เป็นรุ่นที่ขายแบบ “แจกฟรี” ผ่านโอเปอเรเตอร์ แล้วใช้วิธีผูกสัญญาการใช้งานเครือข่ายแทน ด้วยความสามารถของมันที่ได้รับการอัพเกรดขึ้นมาจากเดิมมาก ได้กระแสคะแนนรีวิวในเกณฑ์ที่ดีจากหลายๆ สำนัก รวมถึงการเปิดตัวในฐานะของ “สินค้าใหม่” ก็น่าจะได้รับการตอบรับจากตลาดอยู่พอสมควร มันอาจจะไม่ได้ขายดีเปรี้ยงปร้างขนาดคนมาเข้าคิวรอหน้า Apple Store แต่ในระยะยาวคาดว่าตัวเลขหลักล้านเครื่องน่าจะเกิดขึ้นในเวลาไม่นาน

ในแง่เรื่องความศรัทธากับสาวกระดับ Hardcore น่าจะไม่พอใจกับเจ้ารุ่นนี้มากนัก เพราะมันไม่มีอะไรใหม่ให้ชวนตื่นเต้น แต่กับกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป คนที่กำลังทรัพย์สำหรับซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องนึงไม่สูงมาก ถือว่าเป็นการเปิดทางเลือกในการซื้อเครื่องใหม่ที่ได้สเปคที่ดีขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ดีเพียงพอแล้วในแง่ของผู้บริโภค

iPhone SE launch in Miami - Sydney

คิวต่อแถวซื้อ iPhone SE วันแรกหน้า Apple Store สาขาไมอามี่ (สหรัฐ) และซิดนี่ย์ (ออสเตรเลีย) – ภาพจาก MacRumors

แล้ว iPhone SE เหมาะกับใคร?

  • มีหลายคนที่ยังใช้ iPhone รุ่นเก่าอยู่รู้สึกว่าหน้าจอขนาด 4.7 นิ้วของ iPhone 6 นั้นใหญ่เกินไป และชอบขนาดจอ 4 นิ้วที่ใช้งานมือเดียวได้อย่างคล่องมือสุดๆ การอัพสเปคภายในให้เร็วขึ้นกว่าเดิม 2-3 เท่าตัวจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ
  • อยากได้เครื่องสเปคที่แรงแต่ไม่อยากจ่ายแพง iPhone SE แรงและประสิทธิภาพโดยรวมทัดเทียมกับ iPhone 6s รุ่นล่าสุด (ที่จะตกรุ่นในอีก 5-6 เดือนข้างหน้านี้) ราคาที่ถูกกว่า 30% ก็ทำให้ดูเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจขึ้นมาทันที
  • คนใช้สมาร์ทโฟนระดับ Hi-end มี Android ระดับเรือธงใช้เป็นเครื่องหลัก แต่ก็อยากเล่น iOS ด้วย ให้ซื้อ iPhone 6s ก็เกินเหตุ และ iPhone SE ก็น่าจะอยู่ในตลาดใช้งานไปยาวๆ ได้อีกอย่างน้อย 2-3 ปี ในราคาไม่ถึง 2 หมื่นบาท
  • คนที่มองหาสมาร์ทโฟนในงบประมาณระดับ Mid-range และ Upper Mid-range ภาพลักษณ์ของ iPhone SE ที่สเปคแรงเท่าตัวท็อปแต่ราคาอยู่ระดับกลาง ความเป็น iPhone และระบบ iOS พอมาอยู่ในราคาระดับนี้ได้ ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า Android หลายๆ รุ่นได้อยู่เหมือนกัน

iPhone SE Touch ID

ถ้าเข้ามาขายในไทย จะรุ่งหรือว่าร่วง?

ทุกโอเปอเรเตอร์ทั้ง 3 ราย ไม่ว่าจะเป็น AIS, dtac และ Truemove H หลังจาก Apple ประกาศเปิดตัวไปได้วันเดียวก็ประกาศความพร้อมที่จะนำ iPhone SE เข้ามาแน่นอน ส่วนว่าจะเข้ามาวางขายเมื่อไหร่นั้น คาดว่าไทยแลนด์เราก็คงได้อยู่ Tier ท้ายสุดของ Apple ได้ซื้อกันในช่วงเดือนพฤษภาคมเลย ส่วนราคาเครื่องเปล่ารุ่น 16GB อาจจะอยู่ราวๆ 16,900 – 17,900 บาท ส่วน 64GB น่าจะอยู่ที่ 19,900-20,900 บาท (อันนี้ราคาแบบเดาล้วนๆ ไม่มีวงในใดๆ ทั้งสิ้น)

dtac

และมีความเป็นไปได้สูงมากที่ทั้ง 3 ค่ายจะมาพร้อมกับโปรโมชั่นขายเครื่องพร้อมแพ็คเกจในราคาที่ถูกลงอย่างแน่นอน เผลอๆ อาจจะได้เห็นโปรโมชั่นหนักๆ อย่างเช่นนำ iPhone เครื่องเก่ามาแลกส่วนลด เพราะว่ากลุ่มลูกค้าในบ้านเราน่าจะเป็นกลุ่มคนใช้เครื่องรุ่นเก่าอยู่แล้วยังไม่เปลี่ยน เพราะเครื่องเก่ายังไม่เสีย และไม่อยากจ่ายแพง

ถ้ารุ่นนี้เข้าไทยมาเมื่อไหร่ น่าจะได้เห็นโปรโมชั่นผ่อน 0% 10 เดือน ได้ส่วนลดค่าเครื่อง 2,000-3,000 บาท แลกกับติดโปรโมชั่นใช้งาน 6 เดือน – 1 ปี น่าจะมีคนสนใจกันไม่น้อย และโอเปอเรเตอร์เองก็น่าจะยินดีกับการมาของ iPhone SE เพราะจะทำให้ iPhone รุ่นใหม่ที่เป็นสเปคดีๆ ลงมาเล่นตลาดกลุ่มราคาต่ำกว่า 20,000 บาทได้เสียที หลังจากที่เคยเจ็บอ่วมมากับ 5c เมื่อหลายปีก่อน

แต่ก่อนอื่นคาดว่าช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมนี้ น่าจะมีโปรฯ ส่งท้ายล้างบางสต็อคเครื่อง iPhone 5s และ iPhone 6 ที่ค้างคาอยู่ และถ้าหากสามารถมาทันได้ก่อนงาน Thailand Mobile Expo 2016 Hi-end ตอนกลางเดือนพฤษภาคมนี้ คิดว่าทั้ง 3 ค่ายน่าจะมีโปรแรงสำหรับ iPhone ออกมาแน่นอน

เอาเป็นว่าถ้าช่วง 1-2 เดือนนี้ ใครจะซื้อ iPhone เครื่องใหม่ ใจเย็นดูสถานการณ์นิดนึง อาจจะได้เห็นราคาดีๆ ออกมาในช่วงนี้ก็เป็นได้ แต่ถ้าจะซื้อ iPhone 6s นั้นก็ซื้อได้เลย เพราะดูท่าทางยังไง iPhone 7 มาไทยเร็วสุดเต็มที่ก็คงจะเป็นช่วงปลายเดือนตุลาคมนู่น