Gear VR กับภารกิจบุกเบิกตลาด VR …และเป็นหน่วยถูกลืม

แม้ว่าคนที่ติดตามข่าวสารด้านเทคโนโลยีอาจมองว่าเรื่อง VR ยังไม่ควรเกิดขึ้นในยุคนี้ แต่ในทางปฏิบัติแล้วหลายบริษัทออกตัวชัดว่าปี 2016 คือปีแห่ง VR เลยทำให้แต่ละค่ายเริ่มเข็นสินค้าแนว VR ลงสู่ตลาด และตัวที่ถูกจับตามองมากที่สุดในช่วงแรกก็คือ Gear VR

Virtual Reality หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า VR ก็หมายถึงโลกเสมือนจริงที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนไปยืนอยู่กลางเหตุการณ์นั้นๆ ซึ่งบางครั้งก็ถูกจับคู่กับ Augmented Reality หรือ AR ที่เป็นการแต่งแต้มภาพที่เราเห็นในเวลานั้นให้กลายเป็นสิ่งอื่น เช่น การใช้ AR เพื่อทำให้หนังสือแสดงผลเป็นสิ่งของเมื่อเอากล้องส่องลงไป

Augmented-Reality-in-Media

และช่วงหลังก็เริ่มมาในรูปแบบของแว่นอย่างที่หลายคนรู้จักคือ Google Glass ที่บางคนก็บอกว่ามันคือแนวคิดเดียวกันกับ Scouter ของ Dragonball Z ที่ตัวแว่นสามารถให้ข้อมูลของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ทันที

8468F6E1A

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันก็ได้มีการพัฒนาแว่นตา VR ในเชิง multimedia ต่างจาก Google Glass ที่พัฒนาในเชิง assistant ที่เหมือนเป็นผู้ช่วยเราซะมากกว่า อย่างเช่นเกม The Void ที่ผสมผสาน VR และ AR เข้าด้วยกันอย่างลงตัว

Screen Shot 2016-04-12 at 00.47.58

ถ้าถามว่าใครเป็นมหาอำนาจของวงการ VR ก็คงมีชื่อ Oculus อยู่ในนั้น ซึ่งเริ่มต้นโครงการในช่วงปี 2012 ก่อนที่จะถูก Facebook เข้าซื้อในปี 2014 และจับมือกับ Samsung เพื่อสร้าง Gear VR ในปี 2015

ผมมีโอกาสได้ลองเล่น Gear VR เวอร์ชั่น Developer ซึ่งมีขนาดเทอะทะและหนักกว่าตัวที่วางขายจริง รวมถึงราคาที่สูงกว่าด้วย และถ้าย้อนไปวันที่เปิดตัว Galaxy S7 สิ่งที่เรียกเสียงฮือฮากลับไม่ใช่ตัวสินค้าจาก Samsung แต่เป็นการที่ Mark Zuckerberg เดินขึ้นเวทีประหนึ่งว่านี่คืองานของเค้า ซึ่ง Mark Zuckerberg ยังได้บอกอีกว่า Gear VR คืออุปกรณ์ที่ดีที่สุด 

ถ้าตีความคำพูดของ Mark Zuckerberg ไม่ได้หมายความว่าตัว hardware ดีที่สุดอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เค้าหมายถึงราคาเข้าถึงได้ง่ายที่สุด มันคือประตูเปิดสู่โลกของ VR ที่ถูกที่สุด ในขณะที่ค่ายอื่นๆ มีราคาเกินหมื่น แต่ Gear VR มีราคาแค่ประมาณ 3,000 บาท

ซึ่งถ้ามองหา VR ที่ราคาประมาณ 3,000 บาทก็จะเป็นเพียงแค่แว่นสำหรับแบ่งหน้าจอและขยายใหญ่ ต่างจาก Gear VR ที่มาพร้อม platform Oculus …นั่นทำให้ Gear VR เป็น VR ที่ดีที่สุดในความหมายของ Mark Zuckerberg

Screen Shot 2016-04-12 at 00.18.07

ถ้าวัดกันที่คุณภาพแล้ว Gear VR มีความละเอียดต่ำกว่าคู่แข่งและ Samsung ยังเลือกใช้พอร์ตการเชื่อมต่อที่ตกยุคอย่าง microUSB ทั้งที่คู่แข่งทุกรายขยับไป USB-C กันหมดแล้ว แต่นั้นก็เพราะต้องการให้ Gear VR ใช้ร่วมกับ Galaxy S6, Note 5 และ Galaxy S7 ได้ โดยใช้แนวคิดคล้าย Apple ก็คือบางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้ของใหม่ที่สุด แต่จะเลือกใช้ในเวลาที่ user พร้อมเปิดรับมัน ซึ่ง USB-C เป็นของที่ค่อนข้างใหม่สำหรับคนทั่วไป และหา accessory ได้ค่อนข้างยาก

การวางตำแหน่งของ Gear VR คือการบุกจู่โจมเข้าไปนั่งอยู่ในบ้านให้มากที่สุด เพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่งของ ecosystem และ platform ซึ่งมันก็ทำได้ค่อนข้างดีเพราะราคาที่ถูกบวกกับโปรโมชั่นต่างๆ ทำให้คนที่ซื้อ Galaxy S7 มักซื้อ Gear VR ด้วย

และถ้าคนส่วนใหญ่ใช้ Gear VR ก็หมายความ Gear VR จะกลายเป็นมาตรฐานหลักโดยปริยาย ซึ่งนักพัฒนาก็จะทำแอพโดยอิง Gear VR ก็ยิ่งทำให้ platform นี้แข็งแรงขึ้นไปอีก

ซึ่งทุกอย่างก็ฟังดูดีแต่เมื่อมองความเป็นจริงแล้วกลับสวนทาง… ในความเป็นจริงแล้ว Samsung ไม่ได้เดินเกมผิด แต่เพราะความที่ยังเป็นของใหม่เลยทำให้หลายสิ่งยังไม่พร้อม ส่งผลให้คนขาย Gear VR ทิ้งเยอะมาก ซึ่งผมวิเคราะห์ว่ามาจากปัจจัยหลักดังนี้

  1. Content มีน้อยมาก
  2. แอพส่วนใหญ่ไม่แจกฟรี และไม่มีให้ทดลอง
  3. ขณะใช้งาน เครื่องค่อนข้างร้อน
  4. ไม่รองรับภาษาไทย
  5. ไม่สามารถใช้ร่วมกับเคสได้ ( เคสแท้ก็เสียบ Gear VR ไม่ได้เหมือนกัน )
  6. การติดฟิล์มมือถือ อาจทำให้ภาพไม่คมชัด

การที่คนแห่ขาย Gear VR ทิ้งเป็นว่าเล่นนั่นก็อาจสื่อได้ว่า ภารกิจล้มเหลว ซึ่งทาง Samsung เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยเริ่มหาวิธีแก้ปัญหาเหล่านี้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักเพราะ Gear VR ใช้ platform ของ Oculus นั่นหมายความว่า Samsung ไม่สามารถแก้ไขหรือตัดสินใจอะไรเองได้โดยตรง แต่ต้องรอให้ทาง Oculus ดำเนินการให้

ในส่วนของ Content มีน้อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะความที่ VR เป็นของใหม่ และกล้อง 360 องศา ก็ยังไม่แพร่หลาย สตูดิโอหนังต่างๆ ก็มีแค่ teaser ตัวอย่างหนัง ซึ่งการมาของ Gear VR ก็เหมือนการลั่นกลองรบ เพื่อให้คนที่มีอุดมการณ์เดียวกันได้เริ่มลงมือสร้างมันขึ้นมา ดังนั้นการผลัก Gear VR ลงสู่ตลาดจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพียงแต่ต้องรอเวลาให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง

Samsung พยายามยึดความเป็นผู้นำด้าน VR แต่เพราะความที่ Samsung ไม่ใช่บริษัทที่เก่งด้าน software ( เคยมีบทสัมภาษณ์จากคนในเอง ) เลยทำได้แค่จับมือกับ Oculus แล้วกดราคา Gear VR ให้ต่ำที่สุด ขายให้ mass ที่สุด …นั่นคือสิ่งที่ Samsung ทำได้

Screen Shot 2016-04-12 at 00.34.35

ในขณะที่คู่แข่งที่เปิดตัวทีหลังอย่างเช่น Sony ซึ่งแข็งแกร่งด้าน Content อยู่แล้ว ก็เลือกเดินเกมคนละแบบโดยเน้นชู Content เป็นหลัก และผลก็คือคนจำนวนไม่น้อยบอกว่า PlayStation VR คือ VR ที่น่าใช้ที่สุด

Screen Shot 2016-04-12 at 00.36.05

แม้ว่า Gear VR จะเป็นเจ้าแรกที่ลงสู่ตลาดแบบพร้อมขายจริง แต่เพราะความไม่พร้อมหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่อง Content ทำให้ Gear VR ถูกหลายคนขายทิ้งไม่ก็เก็บเข้ากรุ

ถ้ามองว่านี่คือการลองตลาดก็คงไม่ใช่ความล้มเหลวที่ร้ายแรงนัก แต่อย่าลืมคู่แข่งก็เริ่มงัดไม้เด็ดออกมาแล้ว โดยเฉพาะ Sony ที่ดันความเป็น PlayStation และ LG ที่จับมือกับ Google ซึ่งคู่แข่งทั้งหมดมีคุณภาพดีกว่า Gear VR ทั้งนั้น

ถ้ามองแบบผิวเผินดูเหมือน Samsung มีการบ้านไม่เยอะ แต่ถ้าวิเคราะห์ลงไปให้ลึกจะพบว่าที่คืองานช้างสำหรับ Samsung เลยทีเดียว เพราะตัว Software ก็ต้องพึ่งพา Oculus ซึ่งเป็น platform ที่ใหญ่แต่ Samsung ไม่มีอำนาจในการสั่งการใดๆ และการที่เลือกใช้วิธีประกอบตัวมือถือเข้ากับ Gear VR ก็ทำให้ติดเงื่อนไขหลายอย่าง เช่น ความร้อน, ความละเอียด, นำ้หนัก และยิ่งการใช้ microUSB ก็ทำให้น่าคิดว่า Gear VR เป็นแค่สินค้าลองตลาด เพราะ microUSB มันเป็นของตกยุคที่ส่งข้อมูลได้ช้า ต่างจาก USB-C ที่ส่งได้เร็วกว่าเท่าตัว ซึ่งอาจส่งผลให้ content มีความคมชัดและลื่นไหลมากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่ง LG ก็เลือกใช้ VR ผ่าน USB-C ที่เบาและคมชัดกว่า

เมื่อผลตอบรับออกมาไม่ดีก็ย่อมส่งผลต่อ Gear VR รุ่นถัดไปซึ่งเกี่ยวโยงกับตัวมือถือด้วย บางกระแสก็บอกว่า Galaxy Note 6 จะขยับไปใช้ USB-C แล้ว ซึ่งนั้นก็หมายถึง Gear VR ก็ต้องเป็นแบบใหม่ด้วย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ Gear VR ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้จะกลายเป็นของตกรุ่นทันที

12916138_984040588310778_1174807731682652702_o

เดิมที Gear VR ถูกวางไว้เป็นผู้ช่วยของ Galaxy S7 โดยหวังว่ามันจะช่วยกระตุ้นยอด Galaxy S7 และทำให้คนติดอยู่ใน ecosystem เหมือนที่ Apple ทำได้ แต่มาถึงตอนนี้ดูเหมือน Gear VR เป็นเพียงแว่นที่ไม่มีใครสนใจ

สิ่งที่ Samsung ควรทำก่อนที่จะถูกค่ายอื่นแย่งชิงส่วนแบ่งไป ก็คือการจัดกิจกรรมแจก coupon เพื่อซื้อเกมฟรีๆ เพื่อกระตุ้นให้คนได้เข้าถึง content และหยิบ Gear VR มาใช้มากขึ้น หรือเพิ่มช่องทางการซื้อแอพที่ง่ายกว่าการใช้บัตรเครดิต และจับมือกับ blogger เพื่อส่ง content ให้ช่วยรีวิวและแนะนำ content ที่น่าสนใจ ประกอบกับจับมือกับผู้ผลิต content ต่างๆ

…ถ้า Samsung ไม่แก้เกมตอนนี้ Gear VR ก็จะเป็นได้แค่สินค้าที่ถูกลืมและเก็บไว้บนหิ้งเท่านั้น

รูปประกอบ: augmentedrealitytrends , taringa